สังโยชน์ข้อสุดท้ายที่เราต้องพิจารณาในสังโยชน์ทั้ง ๓ นี้ก็คือ สีลัพพตปรามาส คือ การรักษาศีลแบบไม่จริงจัง รักษาแบบลูบ ๆ คลำ ๆ รักษาเหมือนกลัวว่ากิเลสจะเศร้าหมอง การรักษาศีลนั้นต้องเด็ดขาดจริงจังชนิดที่ตัวตายดีกว่าศีลขาด ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล
การรักษาศีลของเราก็มุ่งประโยชน์เนื่องจากว่า เราเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจึงรักษาศีล เนื่องจากว่าเราปรารถนาที่จะก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน เราจึงรักษาศีล ถ้าสามารถรักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้ได้ สังโยชน์ข้อนี้ก็ไม่สามารถที่จะร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสารได้เช่นกัน
ดังนั้น..ท่านใดก็ตามถ้าเกิดความรู้สึกว่า สภาพจิตของเราเศร้าหมองไม่ผ่องใส ก็ให้เร่งพิจารณาดูว่า อันดับแรก เรามีนิวรณ์ ๕ อยู่ในใจหรือไม่ ? ถ้ามีอยู่ก็ให้เร่งขับไล่ออกไป แล้วก็ให้ระมัดระวังไว้อย่าให้กลับเข้ามา เรามีความดีในศีล ในสมาธิ ในปัญญาอยู่หรือไม่ ? ถ้าไม่มีให้เร่งสร้างให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ลำดับต่อไปก็คือพิจารณาศีลของเรา ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี กรรมบถ ๑๐ ก็ดี ว่ามีความสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่หรือไม่ ? ลำดับต่อไปก็ให้พิจารณาเทียบกับสังโยชน์ อย่างน้อยก็คือสังโยชน์ ๓
ว่ายังร้อยรัดสภาพจิตของเราอยู่หรือไม่ ? ถ้าส่วนไหนมีอยู่ก็พยายามตัด พยายามละ พยายามวางลงเสียให้ได้ สภาพจิตของเราก็จะผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ถ้าสามารถรักษากำลังใจของเราได้ต่อเนื่องยาวนาน กิเลสกินใจเราไม่ได้ สภาพจิตของเราก็ค่อย ๆ ใสสะอาดขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่องใสถึงที่สุด ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-10-2014 เมื่อ 17:10
|