ดังนั้น..เมื่อเราทบทวนศีลของเราแล้ว เห็นสิกขาบทใดบกพร่อง ก็ให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกข้อ หลังจากนั้นก็ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่เท่าที่เราจะทำได้ เมื่ออารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่แล้ว สภาพจิตจะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ตรงนี้ก็ให้ทุกท่านพิจารณาว่า สภาพร่างกายของเรานี้ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด
มีความทุกข์เป็นปกติ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย เป็นต้น ในที่สุดก็เสื่อมสลายตายพัง กลายเป็นธาตุสี่คืนให้แก่โลกไป ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเราเกิดมาอีก ก็มีแต่สภาพร่างกายที่ไร้แก่นสารเช่นนี้ เกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป เราปรารถนาอย่างเดียวก็คือพระนิพพาน
ถ้าหากว่าเราสิ้นชีวิตลงไปเพราะหมดอายุขัย หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว เมื่อวางกำลังใจถึงตรงจุดนี้แล้ว ก็เอากำลังใจของเราเกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ ถ้ามีลมหายใจเข้าออกอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้าลมหายใจเข้าออกหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป คำภาวนาหายไป อย่าอยากให้ลมหายใจกลับมา และอย่าอยากให้ลมหายใจหายไป เรามีหน้าที่กำหนดดูกำหนดรู้เท่านั้น ส่วนสภาพลมหายใจจะเป็นอย่างไรก็ช่าง
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2014 เมื่อ 09:00
|