"ปัจจุบันนี้วัดท่าขนุน มีพระโดนสังฆาทิเสสอยู่ ๒ รูป ต้องแยกวงไปฉันต่างหาก เพราะว่ากลายเป็นอนุปสัมบัน คือผู้ศีลไม่เท่าเขา รอให้ออกพรรษาแล้วจะส่งไปอยู่ปริวาส เพื่อรับโทษที่ตนเองติดอยู่ จนกว่าที่จะครบถ้วน แล้วคณะสงฆ์จะสวดอัพภาน คือคืนความเป็นสงฆ์ให้ ถึงจะกลับมาอยู่ร่วมกับพระอื่นได้
พระที่ท่านโดนอาบัติสังฆาทิเสสนั้น มีอยู่รูปหนึ่งน่าเสียดายมาก เพราะไปกล่าวโจทก์พระอีกรูปหนึ่งว่าขโมยของ การที่ไปกล่าวโจทก์ว่าเขาขโมยของ ก็คือกล่าวหาเขาว่าต้องอาบัติปาราชิก แต่คราวนี้โจทก์โดยไม่มีมูล อาตมาซักถามรายละเอียดแล้ว เห็นด้วยตัวเองหรือเปล่า ? ก็ไม่เห็น ได้ยินด้วยตนเองหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ยิน มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าวเรื่องนี้หรือเปล่า ? ก็ไม่มี ในเมื่อโจทก์โดยอาบัติที่ไม่มีมูลก็คือ ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ไม่ได้ยินด้วยตนเอง แล้วก็ไม่มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าว ก็แปลว่ากล่าวโจทก์ผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล ตนเองต้องสังฆาทิเสสเอง พระพุทธเจ้าต้องกันเอาไว้ เพื่อป้องกันการใส่ร้ายกันในลักษณะอย่างนี้
อาตมาถามว่าไม่ชอบหน้ากันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ? ท่านก็ไม่พูด แต่ถึงจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม ก็บอกท่านไปว่า "ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ไม่ต้องอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์เขา ถ้าเขาลงสังฆกรรมก็ไม่ต้องไปลงกับเขา เพราะว่าสังฆกรรมเขาจะเสีย คราวนี้ก็รอเวลาว่าออกพรรษาเมื่อไรก็ไปอยู่ปริวาส รับโทษที่ตัวเองทำไว้" รายอื่นโดนอาบัติเพราะตัวเองทำเอง แต่ท่านนี้กล่าวหาผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล
ดังนั้น..ญาติโยมถ้าคิดจะบวช ศีลพระต้องแม่น ถ้าไม่แม่น โอกาสเดี้ยงมีสูงมาก ถ้าโดนอาบัติปาราชิกไป ก็เสียชาติเกิดเลย"
ถาม : ต้องอาบัติเพราะโจทก์อาบัติผู้อื่นโดยไม่มีมูล อาบัติที่ตนเองต้องโดนต้องเป็นสังฆาทิเสสหรือครับ ?
ตอบ :ไม่ใช่...ตัวเองจะโดนอาบัติที่รองลงไป เช่น โจทก์อาบัติสังฆาทิเสส ตนเองต้องปาจิตตีย์ ต้องอาบัติที่ต่ำกว่าลงไปเป็นชุด ๆ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:05
|