เมื่อกำลังใจของเรากำหนดคิดพิจารณามาถึงจุดนี้ ก็ให้นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะอยู่บนพระนิพพานก็ดี หรือว่าอยู่ในห้วงนึกของเราก็ตาม ว่านั่นคือพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน ถ้าหากว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วยจนหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าทนทุกขเวทนาไม่ไหวตายลงไปก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว
หลังจากนั้น..ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็กำหนดดูกำหนดรู้ลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่าเป็นอย่างนั้น อย่าดิ้นรนกลับมาหายใจใหม่ ขณะเดียวกันก็อย่าอยากให้หมดจากลมหายใจไปเช่นกัน เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้อาการของทางร่างกาย ไม่มีหน้าที่ไปบังคับปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าทำดังนี้ได้ สมาธิของเราก็จะก้าวสู่จุดที่สูงยิ่งขึ้นไป จนกระทั่งสามารถแยกจิตกับประสาทออกเป็นคนละส่วนกัน ถ้าสามารถทำได้คล่องตัวเมื่อไร การเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเราเลย
ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2014 เมื่อ 10:23
|