ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 22-08-2014, 11:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,636 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อท่านทั้งหลายภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคลายกำลังใจลงมา แล้วพิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เกิดจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันเป็นเรือนร่าง ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น

ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน เรียกว่าธาตุดิน ประกอบด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก เส้นเอ็น อวัยวะภายในภายนอกใหญ่น้อยทั้งหลายที่จับต้องได้ นี่เป็นส่วนของธาตุดิน เราแยกเอาไว้ด้านหนึ่ง

ส่วนที่เอิบอาบชุ่มชื้นอยู่ในร่างกายของเราเป็นธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ นี่เป็นส่วนของธาตุน้ำ เราแยกไปอีกด้านหนึ่ง

ส่วนที่พัดไปมาในร่างกายของเรา เรียกว่าธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่อยู่ในช่องว่างของร่างกาย เช่น ช่องหู ช่องจมูก ลมที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิต เหล่านี้เป็นธาตุลม เราแยกไว้อีกด้านหนึ่ง

ส่วนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ช่วยในการย่อยอาหาร หรือ ทำให้เกิดความกระวนกระวายเมื่อป่วยไข้ เรียกว่าธาตุไฟ เราแยกเอาไว้อีกด้านหนึ่ง

กองที่หนึ่งเป็นดิน กองที่สองเป็นน้ำ กองที่สามเป็นลม กองที่สี่เป็นไฟ เมื่อแยกออกมาแล้วตัวเราอยู่ตรงไหน ? ก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อจับมาขยำรวมกัน ปั้นขึ้นมาใหม่ มีหัว หู แขน ขา หน้า ตา ตัวเราคือจิตที่ไปอาศัยอยู่ชั่วคราวตามบุญตามกรรมที่ได้สร้างมา เราก็ไปยึดว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา

ถึงเวลาอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายก็ปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ก็จะมีสภาพดังที่เห็นก็คือ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไปโอดโอยอยู่กับการเจ็บไข้ เพราะสภาพจิตไม่ได้ตัด ไม่ได้ละ ไม่ได้เห็นความเป็นจริงว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มิหนำซ้ำกำลังสมาธิยังไม่สามารถที่จะช่วยเหลือรักษาตนเองได้ ก็กลายเป็นอาการป่วยไข้รุมเร้า ท้ายสุดจิตใจก็เศร้าหมอง รัก โลภ โกรธ หลง ก็กลุ้มรุมเข้ามา ถ้าตายตอนช่วงนั้นโอกาสที่จะลงอบายภูมิมีสูงมาก

จึงเป็นเรื่องที่ญาติโยมทั้งหลายต้องถือไว้เป็นบทเรียนว่า การปฏิบัติธรรมต้องต้องนำมาใช้งานจริงได้ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาต้องให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดา เราเกิดมามีร่างกายก็ต้องเจ็บอย่างนี้ ต้องป่วยอย่างนี้ แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเจ็บป่วยอย่างนี้ จะมีแก่เราแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่าตายลงไปเมื่อไรเราขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2014 เมื่อ 14:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา