นี่คือสภาพร่างกายของเรา ซึ่งไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร มีกระดูกเป็นโครง มีเนื้อพอกอยู่ มีอวัยวะเป็นเครื่องจักรกล ให้เราอาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ระหว่างที่ทรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่สามารถที่จะยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่หาแก่นสารไม่ได้เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้เราไม่ต้องการอีก เราปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน
ถ้าพิจารณามาถึงตรงจุดนี้ เราก็น้อมจิตน้อมใจของเรา นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุดก็ได้ ตั้งใจว่าพระองค์ท่านอยู่บนพระนิพพาน ถ้าเราหมดอายุขัยตายไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ตายลงไปก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นก็มาดูลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้กำหนดรู้ลมหายใจ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ให้กำหนดคำภาวนา ถ้าคำภาวนาเบาลงหรือว่าหายไป ลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป เราก็กำหนดดูกำหนดรู้เอาไว้เท่านั้น ประคับประคองรักษาอารมณ์เช่นนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้ระยะเวลาที่เราพอใจ
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2014 เมื่อ 16:28
|