๑๙. ไม่ว่ากรณีใด ๆ ถ้าหากตั้งความหวังไว้มาก ก็จักผิดหวังมาก เพราะการตั้งความหวังนั้น ทำให้จิตเร่าร้อน เร่งเร้าอยากให้เป็นเช่นที่หวัง ก็เป็นการเบียดเบียนจิตและกายตนเอง จุดนี้เป็นอารมณ์หลง หลงคิดว่าจักเอาสมบัติของโลกไปได้ โดยเฉพาะหลงติดในร่างกายตนเอง อันเป็นการเพิ่มสักกายทิฏฐิ
แต่ถ้าหากไม่ตั้งความหวังจักเอาสมบัติของโลกและขันธโลกไปด้วย เพราะรู้ชัดว่าเอาไปไม่ได้ มันหาใช่เรา หาใช่ของเราไม่ จิตก็จักเยือกเย็น - ไม่ดิ้นรน - ไม่ห่วง - ไม่กังวล ด้วยประการทั้งปวง จิตมีความไม่ประมาทในชีวิต พร้อมตายและซ้อมตาย เพื่อเอาจิตคือตัวเราไปพระนิพพานอยู่เสมอ ด้วยอารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ ยอมรับความเป็นจริงของโลก และขันธโลกว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ที่สุด เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นกฎของกรรม - เป็นกฎธรรมดา - เป็นอริยสัจ มันเที่ยงของมันอยู่อย่างนี้ หากเราไม่เคยทำกรรมนี้มาก่อน ก็จักไม่พบกับกรรมเหล่านี้เลย
การปฏิบัติต้องเดินสายกลาง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ทำด้วยอารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ ได้แค่ไหนก็พอใจแค่นั้น จึงต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้เยือกเย็นไว้เสมอ คอยดูอารมณ์ของจิตให้ดี จักเห็นอารมณ์ที่ไหวไปตามอายตนะตลอดเวลา เมื่อรู้ก็ให้ใช้กรรมฐานแก้จริต ให้ถูกต้องตามอารมณ์ตลอดเวลาเช่นกัน การทรงอานาปานุสติ จึงต้องทรงตลอดเวลา เพราะเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ คุมจิตไม่ให้คิดชั่วไปตามอายตนะ จุดนี้ต้องมีสัจจะ ตั้งใจทำจริง ด้วยความเพียร – ความอดทน หรือมีวิริยะ - ขันติ - สัจจะ โดยมีปัญญาบารมีคุม ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว เพราะตราบใดที่จิตยังเข้าไม่ถึงพระนิพพาน ก็จงอย่าหลงคิดว่าตัวเองดีเป็นอันขาด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2014 เมื่อ 16:15
|