พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมายังอยู่ที่วัดท่าซุง มีอยู่จุดหนึ่งที่เห็นว่าดีมาก ๆ เลย ก็คือญาติโยมที่ไปวัดรู้ว่าตัวเองควรที่จะทำอะไร ไปถึงก็มองหางานที่เหมาะกับตัวเอง ถึงเวลาก็ต่างคนต่างทำงานนั้น ๆ เต็มกำลังของตน ไม่ต้องมีใครสั่ง พอทำไปทำมารู้จักมักคุ้นกันมากขึ้น ๆ ก็เกาะกันเป็นคณะ ก็จะรู้ว่าคณะนี้ควรทำหน้าที่อะไร คณะนี้ทำหน้าที่รักษาความสะอาด คณะนี้เป็นแม่ครัว คณะนี้ช่วยงานสังฆทาน คณะนี้ช่วยจำหน่ายวัตถุมงคล เป็นต้น
คนใหม่มาก็รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร วิ่งไปหางานทำ พอได้งานแล้วต่อไปก็ทำงานหน้าที่นั้น ๆ ซึ่งตรงจุดนี้เป็นการแสดงออกให้เห็นชัดว่าในเรื่องของบารมี คือกำลังใจของแต่ละคนนั้น สั่งสมกันมาเต็มจริง ๆ รู้จักทำงานเอง ไม่ต้องรอให้เรียกใช้ไหว้วาน ไม่น่าเชื่อว่าวัดที่ใหญ่โตขนาดนั้น มีญาติโยมไปทีหนึ่งสองแสนสามแสน ไม่ต้องจ้างแรงงานเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนนอกจากไปทำเองแล้ว ยังควักกระเป๋าทำบุญอีกต่างหาก เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
พวกเราอาจจะไม่ได้สังเกต หรือไม่ก็เห็น แต่ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่อาตมาอยู่ข้างใน เห็นอย่างชัดเจน จึงทำให้รู้สึกว่าในเรื่องกำลังใจได้เปรียบกว่าที่อื่นมาก เพราะว่าทุกคนทำงานด้วยใจจริง ๆ หลายต่อหลายวัด ขนาดสั่งยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก
เมื่อเดือนที่แล้วมีงานพระราชทานเพลิงหลวงพ่อพระเทพเมธากร ทางเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีแต่งตั้งกรรมการดำเนินงาน ท่านใช้คำว่าคณะสงฆ์วัดท่าขนุน ท่านไม่ตั้งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนะ ท่านเอาทั้งวัดเลย วัดอื่นท่านตั้งเป็นตำแหน่ง ๆ ของวัดท่าขนุนท่านตั้งทั้งวัดเลย แล้วก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ถ้าไม่มีพระวัดท่าขนุนอยู่ มีหวังงานเละแน่ ๆ อาตมาส่งพระไปช่วยงาน ๕ รูป บวกกับของทางวัดพุทธบริษัท ซึ่งก็คือวัดท่าขนุนนั่นแหละ อีก ๒ รูป แล้วก็พระครูปลัดปรีชา รองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รวมเป็น ๘ รูป ต้องแบกงานทั้งวัด"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-07-2014 เมื่อ 09:37
|