สังขารคือจิตสังขารเป็นตัวอันตรายที่สุด เพราะว่าวิญญาณ ความรู้สึกเจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย ที่เกิดกับร่างกายนั้น เราต้องแบ่งกำลังใจออกเป็นชอบ ไม่ชอบหรือเฉย ๆ เช่นกัน แต่ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากการปรุงแต่งของใจ
ถ้าหากว่าตาเห็นรูป เราสามารถหยุดความคิดไว้ได้ ไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งว่า นี่เป็นหญิง นี่เป็นชาย นี่เป็นคน นี่เป็นสัตว์ ความรักชอบเกลียดชังต่าง ๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าสักแต่เห็นว่าเป็นรูป
เวทนา ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ถ้าหากว่าเราสักแต่รับรู้เอาไว้ ว่านี่เป็นความสุข นี่เป็นความทุกข์ นี่เป็นความไม่สุขไม่ทุกข์ สภาพจิตเราก็จะเฉย ๆ ไม่ได้ไปปรุงแต่งว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือว่าวางเฉยต่อสิ่งนั้น
สัญญา ความรู้ได้หมายจำ เราก็มักจะจำเอาเรื่องที่ดี ที่มีความสุข ผลักดันเอาเรื่องที่ไม่ดีหรือที่มีความทุกข์ให้ห่างออกไป ถ้าหากว่าเราสักแต่ว่าเป็นผู้รับรู้ มีสติสัมปชัญญะอยู่กับปัจจุบันธรรมเฉพาะหน้า ไม่ปรุงแต่งไปในอดีตซึ่งจะมีแต่จะหวนหาอาลัย หรือไม่ปรุงแต่งไปในอนาคตซึ่งเป็นการเพ้อฝันวุ่นวาย อยู่กับลมหายใจเฉพาะหน้า สัญญาก็ทำอันตรายใด ๆ เราไม่ได้
วิญญาณก็เช่นกัน ถ้าหากว่าเรากำหนดรู้ว่าตอนนี้ความเจ็บเกิดขึ้น สักแต่ว่ารู้ ไม่ไปคิดว่าความเจ็บเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบใจ หรือเรากำหนดรู้ว่าตอนนี้สัมผัสที่อ่อนนุ่มหรือว่าสิ่งที่เย็นสบายเกิดขึ้น ถ้าเราสักแต่ว่ารับรู้ ไม่ไปยินดียินร้าย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้
ดังนั้น..ทุกท่านจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วขันธ์ ๕ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากการปรุงแต่งของจิตสังขารตัวเดียว ทำให้เกิดความรักชอบเกลียดชังขึ้นมา ซึ่งเป็นสาเหตุของรัก โลภ โกรธ หลง แล้วเราก็จะไปยึดในสิ่งที่ชอบใจ และผลักไสสิ่งที่ไม่ชอบใจ แต่ว่าก็เป็นการยึดทั้งสองฝ่าย ก็คือยึดว่าสิ่งนี้ดี เราต้องการ ยึดว่าสิ่งนี้ไม่ดี เราไม่ต้องการ เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 28-07-2014 เมื่อ 12:20
|