การปฏิบัติธรรมนั้น เราไม่ต้องเสียเวลาไปชักชวนให้ใครมาปฏิบัติ ไม่ต้องไปเปลืองแรง ไม่ต้องไปเปลืองน้ำลายใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากว่าเราปฏิบัติแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกาย ทางวาจา หรือทางใจก็ตาม ถ้าปรากฏผลที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้ชัด เหมือนกับเป็นคนใหม่ บุคคลรอบข้างจะเกิดความสนใจ แล้วสอบถามเองว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อนั้นเราค่อยบอกเขา ว่าเกิดจากการปฏิบัติธรรม ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เราบอกจะขลัง จะศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าตัวเราทำจนเกิดผลแก่ตัวเองแล้ว
ดังนั้น..ในเรื่องของสักกายทิฏฐิจึงเป็นสังโยชน์ตัวหนึ่ง ที่เราจำต้องพิจารณาตัดละอยู่เสมอ ๆ ให้เราเกิดความรู้สึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อื่น ล้วนแล้วสักแต่เป็นรูปเป็นนาม เป็นจิตที่มาอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น ซึ่งร่างกายนั้นก็ประกอบจากธาตุ ๔ เหมือน ๆ กัน คือเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ยืมสมบัติของโลกมาใช้งานเพียงชั่วคราวเช่นเดียวกัน
ไม่มีใครดีกว่า ไม่มีใครเลวกว่า ไม่มีใครเสมอกัน ทุกคนล้วนแต่กำลังเป็นไปตามกรรม บุคคลที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ก็คงอยู่ในกระแสของกรรมดี ทวนกระแสขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ บุคคลที่กระทำความชั่ว มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ก็ตกอยู่ในกระแสกรรมสีดำ ไหลลงภพภูมิที่ต่ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะข้ามกระแสทั้ง ๒ สายนี้ได้ จึงมีโอกาสที่จะหลุดพ้น ถ้าตราบใดที่ยังข้ามกระแสเหล่านี้ไม่ได้ ก็ต้องเกาะกระแสแห่งความดีเอาไว้เสมอ
เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องพิจารณาดูว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวตนเราเขาอะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไปตามกรรม แม้กระทั่งตัวเราก็กำลังเป็นไปตามกรรม แล้วจะมีอะไรดีกว่า จะมีอะไรเลวกว่า จะมีอะไรเสมอกัน มีแต่ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเช่นเดียวกัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2014 เมื่อ 12:42
|