เมื่อพิจารณาร่างกายไป แยกออกเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ แล้ว บางทีก็รู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างใจ ก็จะนำเอาธาตุ ๔ เข้ามาประกอบด้วย คือแยกส่วนที่เป็นดิน ส่วนที่เป็นน้ำ ส่วนที่เป็นลม ส่วนที่เป็นไฟขึ้นมา เมื่อแยกแล้วก็ประกอบกลับเข้าไปเป็นร่างกายใหม่ ประกอบกลับเข้าไปแล้วก็แยกออกมาอีก ทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนสภาพจิตยอมรับว่าร่างกายนี้ไม่มีแก่นสารจริง ๆ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราจริง ๆ สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ สักแต่ว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ที่ยืมจากโลกนี้มาใช้งานแค่ชั่วคราว
ในเมื่อร่างกายนี้ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ เราก็ควรจะไปพระนิพพานดีกว่า ก็จะกลับมาน้อมนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงยืนยันว่า พระพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่อื่นใดเลยนอกจากพระนิพพาน การที่พระองค์ท่านเสด็จไปที่ต่าง ๆ ให้เราเห็นนั้น เป็นฉัพพรรณรังสีที่พระองค์ท่านเปล่งไปปรากฏเฉพาะหน้า เหมือนกับพระองค์ท่านเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ดังนั้น..อาตมาจึงสรุปความว่า เมื่อเราเห็นพระรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แปลว่าเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน การที่เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่านแปลว่าเราอยู่บนพระนิพพาน เมื่อกำลังใจจับมาถึงจุดนี้ อาตมาก็จะใช้วิธีย้อนกลับมาดูลมหายใจเข้าออกใหม่ ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจอยู่ ก็จะตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็จะตามดูตามรู้คำภาวนาทั้งหลายเหล่านั้นไป โดยที่ตั้งใจว่า ถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงเมื่อไร ขอมาอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานนี้แห่งเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ภาวนาและพิจารณาไปตามอัธยาศัยของตน
ซึ่งญาติโยมทั้งหลายสามารถน้อมนำไปเป็นหลักปฏิบัติได้ ถ้าทำจนเกิดความช่ำชองชำนาญแล้ว จะสามารถแตกแขนงไปสู่กองกรรมฐานอื่น ๆ ได้โดยไม่ยากเลย ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2014 เมื่อ 10:01
|