หลังจากที่ภาวนาจนกระทั่งอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว หรือว่าภาพพระชัดเจนแจ่มใส จิตใจนิ่งสงบแล้ว ไม่สามารถจะดำเนินต่อไปได้ เพราะสมาธินั้นเมื่อดำเนินไปถึงที่สุด ก็เหมือนกับเดินชนกำแพง จะเคลื่อนคล้อยถอยหลังมาเอง
ถ้าหากว่าช่วงนี้เราไม่หาสิ่งดี ๆ ให้คิด ให้ภาวนา ทางด้านกิเลสจะเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่านทางด้าน รัก โลภ โกรธ หลง แทน ทำให้หลายต่อหลายคนคิดว่า “ยิ่งปฏิบัติ กิเลสยิ่งมาก” ความจริงกิเลสไม่ได้มากขึ้น กิเลสมีเท่าเดิม แต่กำลังดีขึ้นเพราะได้พื้นฐานสมาธิของเราไปช่วย
ดังนั้น...วิธีก็คือเมื่อจิตเริ่มคลายออกมา อาตมาจะใช้วิธีแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ขอให้เขาทั้งหลายล่วงพ้นจากกองทุกข์ ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอยู่เย็นเป็นสุข ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
เมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวเยือกเย็นแล้ว ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัวตั้งมั่นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็จะใช้กำลังนั้นในการพิจารณาร่างกายนี้ โดยพิจารณาในลักษณะของกายคตานุสติ ซึ่งเป็นกองกรรมฐานที่สำคัญสุดยอดอีกกองหนึ่ง เพราะว่าถ้าหวังบรรลุมรรคต้องอาศัยกายคตานุสติทุกคน ถ้าหากไม่ผ่านกรรมฐานกองนี้ ก็อย่าไปคาดหมายถึงเรื่องของมรรคผล เพราะว่าเรายังจะยึดตัวตนแน่นหนา สักกายทิฐิไม่สามารถจะตัดขาดลงได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2014 เมื่อ 17:50
|