เมื่อก้าวเข้ามาถึงจุดนี้ บางท่านจะรู้สึกว่าริมฝีปาก คาง หรือจมูกของเราเหมือนกับแข็งเป็นหิน อ้าปากไม่ขึ้น พูดไม่ได้ บางท่านก็จะรู้สึกว่ามือเท้าเย็นรวบเข้ามา ๆ จนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นหิน แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น นั่นคืออาการของฌานที่ ๓ มาถึงระดับนี้ ลมหายใจเข้าออกไม่มีแล้ว คำภาวนาไม่มีแล้ว เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายเท่านั้น อย่าไปบังคับให้เป็น และอย่าหลีกเลี่ยงจากอาการที่กำลังเป็น
บางท่านไม่เคยเจอ กลัวว่าตัวเองจะตาย เลิกภาวนาไปก็มี เมื่อถึงเวลา หากเรามีหน้าที่ตามดูตามรู้อย่างเดียว สภาพจิตก็จะดิ่งลึกเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วในที่สุดก็จะสว่างโพลงอยู่จุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ไม่ว่าจะอยู่ในระดับสายตา หรือบริเวณปลายจมูก หรืออยู่ในอกของตน จะรู้สึกสว่างไสวเยือกเย็นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตอนนั้นหูจะไม่ได้ยินเสียง ใครมาสะกิดก็ไม่รู้ พูดด้วยก็ไม่ได้ยิน ถ้าเป็นดังนั้นแปลว่าท่านเข้าถึงจตุตถฌาน คือฌานที่ ๔ แล้ว
ดังนั้น..ในเรื่องขั้นตอนของฌานต่าง ๆ นั้น ถ้าเราซักซ้อมในการภาวนาจนมีความคล่องตัว ก็จะสามารถแยกแยะออกได้ ว่าแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง แต่สำคัญตรงจุดที่ว่า เมื่อภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว เรารักษาอาการทรงตัวนั้นได้นานเท่าไร ทันทีที่กำลังใจทรงตัวตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ จะโดนกำลังฌานกดดับลงชั่วคราว จิตใจเราจะผ่องใสจากกิเลส จะไม่โดน รัก โลภ โกรธ หลง ชักจูงไป
ถ้าเราสามารถประคับประคองให้กำลังฌาน กำลังสมาธินั้น อยู่กับเราได้นานเท่าไร ความผ่องใสของใจก็จะมีแก่เรานานเท่านั้น ยิ่งความผ่องใสมีมากขึ้นเท่าไร เราก็จะมีปัญญารู้เห็นว่าจะทำอย่างไร จึงประคับประคองอารมณ์ใจเช่นนั้นอยู่กับเราได้ และพิจารณาอย่างไร จึงจะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้และโลกนี้ แล้วท้ายที่สุดก็ส่งกำลังใจไปเกาะพระนิพพานเป็นปกติ
ดังนั้น..การภาวนาเพื่อให้ทรงฌานว่ายากแล้ว การทรงฌานแล้วรักษาอารมณ์ฌานนั้นยากยิ่งกว่า ทุกท่านจึงพึงสังวรเอาไว้ว่า สิ่งที่ดีมาถึงเราได้ยาก เมื่อมาแล้วก็อย่าปล่อยให้หลุดไป พยายามประคับประคองรักษาเอาไว้ให้นานที่สุด เพื่อให้จิตใจของเราผ่องใสให้มากที่สุด จะได้ห่างไกลจากกิเลส แล้วก็เกิดปัญญาญาณ สามารถพิจารณาเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้ ของโลกนี้ ไม่มีความปรารถนาในการเกิด ต้องการพระนิพพานแห่งเดียวก็ยิ่งดี ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 05-03-2019 เมื่อ 00:52
|