ดูแบบคำตอบเดียว
  #102  
เก่า 13-06-2014, 08:40
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,897 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๑๐. ให้ดูสังขารร่างกายที่มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็เสื่อมไป เดินไปหาความสลายตัวอยู่ตลอดเวลา แม้แต่สังขารของจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาก็เช่นกัน มันหาความเที่ยงไม่ได้ (หมายถึงอารมณ์จิตซึ่งไม่เที่ยง เกิด - ดับ ๆ อยู่เสมอ) ยึดถือมาเป็นเรา เป็นของเราก็ไม่ได้ จึงต้องปล่อยวางให้มันเกิดดับไปตามสภาวธรรม อย่าได้ไปฝืนกฎของความเป็นจริง (อย่าฝืนโลก อย่าฝืนธรรม) ให้เห็นกายสังขาร จิตสังขารเกิดดับเป็นธรรมดา ไม่ยึดไม่ถือ จิตก็จักมีความผ่องใส ลงตัวธรรมดาได้ อุปาทานขันธ์ ๕ ก็จักเบาบาง มองให้ถึงที่สุดด้วยปัญญา ก็จักพ้นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ได้ พระนิพพานจึงปรากฏแก่จิตได้อย่างมั่นคง ด้วยการปล่อยวางกายสังขาร จิตสังขาร (กายสังขารคือกายกับเวทนาเกิดดับ ๆ อยู่เป็นสันตติ จิตสังขาร คืออารมณ์ของจิต และธรรมะหรือพระธรรมก็เกิด - ดับ ๆ อยู่เป็นสันตติ)

การยังมีชีวิตอยู่.. ก็ดูแลร่างกายไปเพียงหน้าที่แค่ยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น จิตที่จักยินดีในการอยู่ก็ไม่มี
เพราะเห็นเป็นเพียงสภาวธรรม แต่ในขณะเดียวกัน ความขุ่นข้องหมองใจในอันที่ขันธ์ ๕ จักพังก็ไม่มี เพราะเห็นเป็นเพียงสภาวธรรมเท่านั้น จิตพร้อมอยู่ในการหลุดพ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อเข้าใจแล้วก็อย่าเพิ่งคิดว่าทำได้แล้ว นั่นเป็นเพียงความรู้อันเกิดจากสัญญาเท่านั้น จักต้องนำความเข้าใจหรือตัวรู้นี้ไปละให้จิตถึงที่สุดอีกที และจำไว้บุคคลใดที่เข้าถึงแล้ว ตัวโลภ - ตัวโกรธ - ตัวหลงนั้น จักไม่มีกำเริบอยู่ในจิตอีกเลย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2014 เมื่อ 08:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา