พระอาจารย์กล่าวถามโยมว่า "มีคนไหนเกิดมาเจอมะละกอที่ลูกใหญ่สุด ๆ บ้างไหม ? จะถามว่าลูกโตแค่ไหน ? อาตมาไปธุดงค์เจอมะละกอลูกหนึ่งโตเกือบเต็มหาบ ก็คือเดินเข้าป่าไปเรื่อย ๆ กะว่าวันนี้อดละวะ ไม่กินก็ได้ ปรากฏว่าเจอชาวบ้านหาบมะละกอเดินสวนมา ข้างหนึ่งเป็นมะละกอลูกหนึ่งใหญ่เกือบเต็มหาบ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นเครื่องมือทำส้มตำ แกเจอพระก็นิมนต์ ทำส้มตำเลี้ยงเพล อร่อยดีเหมือนกัน แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่ากลางป่าอย่างนั้น แกจะไปขายส้มตำให้ใคร หรือเจตนามาเลี้ยงพระอย่างเดียว ?
ถ้าถามว่าเข้าป่าไปลึกแค่ไหน ? ต้องบอกว่าเดินพ้นถนนดินที่ป่าไม้ใช้โฟร์วีลวิ่ง เข้าไปประมาณ ๔ ชั่วโมง เดินอย่างช้า ๆ ก็ต้องได้ ๑๔-๑๕ กิโลเมตร ไปเจอแม่ค้าส้มตำอยู่กลางป่า แต่อาตมาไม่รังเกียจหรอก ขอให้มีคนเลี้ยงก็พอ ไปนึกถึงที่หลวงพ่อฤๅษีท่านถามว่า "บ้านอยู่ไหนจ๊ะ ? " ถามแบบนั้นแล้วอด อาตมาจึงไม่ถามเด็ดขาด ก้มหน้าก้มตาฉันอย่างเดียว มีให้กินก็กิน อย่าไปสงสัย
ฉันไปก็นึกถึงที่หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า เชิญท้าวเวสสุวรรณมาพบครั้งแรก ท้าวเวสสุวรรณถามว่าอยากได้อะไร คราวนี้ท่านเองก็ไม่มีอะไรที่อยากได้ แต่อยากทดสอบเทวานุภาพ เลยบอกว่าอยากได้ผักบุ้งต้มจิ้มน้ำปลาพริก ปรากฏว่ารุ่งเช้ามีโยมเอามาถวายจริง ๆ ผักบุ้งยอดหนึ่งขดมาในชามดินเผา ท่านบอกว่าชามโตเกือบเท่ากะละมัง แต่ผักบุ้งยอดนั้นปล้องโตจนเอาแขนสอดเข้าไปได้
ท่านบอกว่าฉันไม่หมด เหลือแล้วตากแห้งไว้ อ่างดินเผาก็เก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่ปรากฏว่าสูญหายไปตอนสงคราม แสดงว่าของอีกที่หนึ่งใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เล็ก ๆ "
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2014 เมื่อ 14:19
|