เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
ขอให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒ – ๓ ครั้งเพื่อระบายลมหยาบให้หมด หลังจากนั้นก็ปล่อยให้การหายใจเป็นไปโดยธรรมชาติ เพียงแต่เอาความรู้สึกกำหนดรู้ตามลมหายใจของเราไปด้วย หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมออกมา จะกำหนดการกระทบฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐาน หรือกำหนดรู้ตลอดกองลมก็ได้ จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ วันนี้อยากให้ทุกท่านทบทวนว่า การปฏิบัติธรรมของเราที่ผ่านมานั้น หาความก้าวหน้าไม่ได้หรือไม่สามารถรักษาระดับเอาไว้ได้ เป็นเพราะเราขาดการปฏิบัติอย่างไร ?
ลองนึกไปถึงตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา ทันทีที่รู้สึกตัว เรานึกถึงภาพพระพร้อมกับลมหายใจเข้าออกได้หรือไม่ ? เรามีการทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราหรือไม่ ? เราได้ตั้งกำลังใจไว้หรือไม่ว่า ถ้าหากว่าวันนี้ชีวิตของเราสิ้นสุดลง เราจะไปที่ไหน ?
ระหว่างที่เราอาบน้ำแต่งตัวก็ดี เตรียมข้าวปลาอาหารก็ดี เรามีความรู้สึกว่า การกระทำอย่างนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตหรือเปล่า ? ถ้าเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายในชีวิต แล้วเราตายลงไปตอนนี้ เราคิดว่าเราจะไปที่ไหน ? ระหว่างที่เดินทางไปทำงาน ไม่ว่าจะอยู่บนรถไฟก็ดี รถเมล์ก็ดี รถแท็กซี่หรือรถส่วนตัวก็ตาม เรากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของเราได้หรือไม่ ? เรากำหนดภาพพระของเราได้หรือไม่ ? จิตของเราเกาะพระนิพพานเป็นปกติหรือไม่ ?
ระหว่างที่ทำงานอยู่ เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมหรือไม่ ? คิดบ้างหรือไม่ว่า ถ้าเราทำงานครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เราควรจะทุ่มเทให้เต็มที่ เพื่อให้ผลงานนั้นออกมาให้ดีที่สุด ถ้าเราตายลงไป จะได้เป็นการจากไปอย่างสง่างามที่สุด เพราะเราทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับการงานอย่างเต็มที่แล้ว ถึงอยู่คนเขาก็เกรงใจ ถึงไปคนเขาก็คิดถึง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2014 เมื่อ 02:34
|