จึงขอเตือนให้นักปฏิบัติทั้งหลาย ระมัดระวังในเรื่องของอุปกิเลสไว้ให้มาก เพราะว่านักปฏิบัติของเราพลาดพลั้งมาแล้วรายแล้วรายเล่า แม้กระทั่งพระภิกษุในสมัยพุทธกาลก็พลาดพลั้งมามากต่อมาก และในปัจจุบันนี้ก็มากต่อมากด้วยกัน ที่เข้าใจว่าตัวเองได้มรรคได้ผล
พวกเราเมื่อระมัดระวังตรงจุดนี้ แล้วจะทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ก็ให้วัดกับสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ ไล่ตั้งแต่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา เป็นต้นไป แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนที่ละเอียดมาก ถ้าปัญญาเราไม่ถึง ก็อาจจะคิดว่าเราไม่มีสังโยชน์ร้อยรัดอยู่ ให้พิจารณาง่าย ๆ แค่ว่า เราพยากรณ์มรรคผลของตนเองไปทำไม ? แปลว่าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตนอยู่ใช่หรือไม่ ? เราจึงต้องการที่จะบอกที่จะอวดผู้อื่นเขา ถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ต้องการที่จะบอกจะอวดคนอื่นเขา ก็แปลว่าเรายังมีกิเลสท่วมหัวอยู่ใช่หรือไม่ ? เรายังมีสักกายทิฐิอยู่เต็ม ๆ ใช่หรือไม่ ? ให้ค่อย ๆ เปรียบเทียบของเราไป
ถ้าปัญญาถึง ก็สามารถเอาตัวรอดได้ ถ้าปัญญาไม่ถึงก็ต้องหลงทางยาวไกล ต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์เป็นโทษอีกนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้จงหนัก
ลำดับต่อไป ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญานบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2014 เมื่อ 11:43
|