ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 17-03-2014, 19:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,488 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗

ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง เพื่อที่ลมหายใจเข้าออกของเราจะได้เดินสะดวก กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอสติไปคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร เมื่อรู้ตัวก็ให้ดึงความรู้สึกของเรากลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่

คำภาวนานั้นเราจะใช้แบบใดก็ได้ที่ถนัดมาแต่ดั้งเดิม จะเป็นพุทโธ สัมมาอะระหัง นะมะพะธะ พองหนอยุบหนอ หรือว่าตัวบทพระคาถาใด ๆ ที่เราชอบใจ ก็ให้ใช้อย่างนั้น อย่าเปลี่ยน..เพราะว่าการเปลี่ยนคำภาวนา ทำให้สภาพจิตต้องมาทำความคุ้นชินเสียใหม่ บางทีใจก็จะไม่ค่อยยอมสงบเหมือนการใช้คำภาวนาอย่างเดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งเมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของบุคคลที่เป็นพระอรหันต์แล้ว คือพระอนุรุทธเถระ ว่าท่านถือเนสัชชิก ก็คือนั่งโดยไม่นอนเลยตลอดระยะเวลา ๕๕ ปี นอกจากเป็นความไม่ประมาท พิจารณาธรรมเพื่อความอยู่สุขเฉพาะของตนแล้ว ยังแสดงออกซึ่งฉันทะอย่างแรงกล้า

เครื่องมือที่จะช่วยให้เกิดความสำเร็จในการปฏิบัติธรรมหรือว่าในการทำสิ่งอื่น ๆ ทุกประการก็ตาม คืออิทธิบาท ๔ ซึ่งประกอบไปด้วย ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะทำอย่างนั้น

ในปัจจุบันนี้ญาติโยมหลายต่อหลายท่าน มีฉันทะเกินพอ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเอาไปใช้ผิด อย่างเช่น นั่งเล่นไลน์กันทีเป็นวัน ๆ หรือไม่ก็ดูหนังสนุก ๆ ได้เป็นวัน ๆ อ่านหนังสือที่ตนชอบใจได้เป็นวัน ๆ บางทีสว่างไม่รู้ตัวก็มี เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่าตัวฉันทะ คือความพอใจที่จะกระทำของเรานั้นความจริงเพียงพออย่างเหลือเฟือแล้ว เพียงแต่ว่าต้องเราน้อมนำเอาฉันทะนี้มาใช้ในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น

คราวนี้..การที่เราจะเปลี่ยนความยินดี ความพอใจจากสิ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ตนเองในด้านอื่น ๆ มาเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยความมุ่งมั่นในระดับเดียวกันนั้น เราต้องเห็นประโยชน์เสียก่อน

เราจะเห็นได้ว่าหลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ป้องกันเราไม่ให้ตกลงสู่อบายภูมิ คือถ้าเราเป็นผู้มีทาน มีศีล มีภาวนาทรงตัว เราสามารถที่จะปิดอบายภูมิได้ชั่วคราว แต่ถ้าการภาวนาของเราเข้าสู่ระดับปัญญา รู้แจ้งในเบื้องต้น ตั้งแต่ทรงความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป เราก็จะปิดอบายภูมิได้อย่างถาวร ก็แปลว่าการเกิดในนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน จะไม่มีสำหรับเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2014 เมื่อ 00:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา