ไปนึกถึงพลเอกเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธิน ตอนที่ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ท่านก็เป็นหนึ่งในคณะนั้น พอมาในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ท่านก็เป็นหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คราวนี้นับแล้วก็เท่ากับท่านครองราชย์ ๒ สมัย แสดงว่าบารมีที่ท่านสร้างมานี่ อยู่ในระดับจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย จึงต้องไปทำหน้าที่นั้นอยู่ถึง ๒ วาระด้วยกัน
แล้วก็มานึกถึงหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านทำหน้าที่พระสังฆราชอยู่ ๒ วาระเหมือนกัน วาระแรกก็คือทำหน้าที่แทนไปเลย วาระที่สองก็คือเป็นประธานคณะผู้ทำหน้าที่แทน ก็ลักษณะเดียวกันคือของท่านก็เท่ากับเป็นพระสังฆราช ๒ รอบ แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชในนามก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก แต่คนทำหน้าที่จริง ๆ คือหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เพราะฉะนั้นนับแล้วหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ เท่ากับเป็นพระสังฆราชไป ๒ รอบ หนักกว่าอีก
แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ถ้าท่านขึ้นมาก็เท่ากับเป็น ๒ รอบเหมือนกัน เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่ ๑ รอบ และเป็นเอง ๑ รอบ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ต้องใช้รถยนต์หลวงประจำพระองค์ เพราะฉะนั้น..ใครก็ตามที่ทำหน้าที่นั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องประสานสำนักพระราชวัง ขอรถยนต์หลวงประจำตำแหน่ง
มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมที่วัดสุวรรณภักดี ที่จังหวัดตราด หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศติดภารกิจ มอบหมายให้หลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ไปทำหน้าที่แทน เท่ากับท่านเป็นองค์แทนผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เขายังต้องประสานขอรถยนต์หลวงไปส่ง
เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ถ้าเราเข้าใจในเรื่องของยถากัมมุตาญาณ คือบุญเก่าที่ทำมา ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราไม่เข้าใจในตรงจุดนี้ก็อย่างที่เขาว่ามา คือเชื่อว่าเขาทำจนเป็นไปได้เหมือนกัน เขาบอกว่าเขาจะทำหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ให้เป็นพระสังฆราชให้ได้ เขาก็ทำของเขาจนได้ แต่ถ้าเรามาดูตรงจุดนี้ว่า ถ้าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ทำบุญบารมีของท่านมา อย่างไรก็ต้องขึ้นเป็นพระสังฆราช ต่อให้ไม่มีคณะแม่ชีมารวมทำวิชา ท่านก็ต้องเป็นจนได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2013 เมื่อ 17:47
|