ถาม : เวลากิเลสเกิดขึ้น ไม่รู้ทันขณะเกิด มารู้ทีหลัง ต้องมาตั้งรู้ใหม่
ตอบ : วิ่งตามหลังกิเลส แต่ยังดีที่รู้ทันว่ากิเลสเกิด
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : สองอย่างจริง ๆ ต้องทำคู่กันไป เรื่องของสมถะเหมือนกับเราสร้างกำลังให้เกิด แล้วก็ใส่เกราะป้องกันตัวเอง ไม่อย่างนั้นถึงเวลากิเลสตีเรา ถ้าไม่มีกำลังของสมาธิซึ่งเป็นสมถกรรมฐานมาช่วย เราจะทนทุกข์ทรมานมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตอนที่จะทำอย่างไรให้ระงับยับยั้งอยู่ จะทำอย่างไรจะรู้เท่าทัน แต่ถ้าเรามีตัวสมาธิเหมือนกับเราใส่เกราะอยู่ กิเลสมีปัญญาแค่ไหนก็กระทบไป ฉันไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่หวั่นไหว ในเมื่อไม่สะดุ้งสะเทือนไม่หวั่นไหว เดี๋ยวก็มองเห็นเองว่าตัวไหนกวนเรา เราจะได้ตีหัวกิเลสได้ถูก
แต่ในเรื่องของวิปัสสนาก็คือการที่เรามีอาวุธคมกล้าอยู่ในมือ ฝ่ายหนึ่งมีกำลัง ฝ่ายหนึ่งมีอาวุธ ก็สามารถที่จะตัดอะไรให้ขาดได้ง่าย แต่ถ้าเราไปพิจารณาอย่างเดียว เหมือนกับเราไม่มีกำลัง พยายามไปยกอาวุธหนัก ๆ ยกเท่าไรก็ไม่ขึ้น ใช้งานไม่ได้ ดังนั้น ๒ อย่างต้องทำด้วยกัน
แต่ว่ามีบางสายเขาให้ทำอย่างเดียว ก็เป็นการทรมานบันเทิงมาก เพราะว่าถึงเวลาก็โดนกิเลสตีกระหน่ำเสียจนไม่เป็นผู้เป็นคน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2013 เมื่อ 17:46
|