ดังนั้น..ในการปฏิบัติของเรานั้น ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง ไม่หวั่นไหว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่อาจที่จะสร้างความเครียด ความหวาดกลัว ความมัวหมองให้เกิดขึ้นกับสภาพจิตของเราได้ แต่ถ้ากำลังใจของเราไม่มั่นคง ก็จะหวั่นไหว คล้อยตาม เกิดอารมณ์ร่วม ขอให้ทราบว่า ถ้ากำลังใจหลุดจากอุเบกขาเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลงทุกอย่าง จะประเดประดังเข้ามาทำอันตรายเราได้ทันที
สิ่งที่นักปฏิบัติพึงสังวรไว้ ก็คือ การรักษากำลังใจให้ผ่องใสนั้นเป็นงานที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรักษากำลังของเราให้ผ่องใสให้ได้ ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ สิ่งต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เราหวั่นไหว ไม่สามารถทำให้เราคล้อยตาม เราจะสามารถยกตัวเองขึ้นเหนือกระแส เหนือเหตุการณ์เหล่านั้นได้ แต่ถ้ากำลังใจของเรายังไม่ถึงระดับนี้ เราก็มีหน้าที่ที่ต้องฝึกปรือ สั่งสม อบรม ขัดเกลาตัวเราต่อไป เพื่อการปฏิบัติของเรานั้น จะสามารถนำไปใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้ การใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นการพิสูจน์ว่า กำลังใจที่เราปฏิบัติมาเพียงพอแล้วหรือไม่
เนื่องจากว่าแต่ละวันเราต้องพบกับแรงกระทบทั่วไปอยู่เสมอ ดังที่ในบาลีกล่าวว่า ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ จิตที่กระทบโลกธรรมแล้ว ไม่หวั่นไหว เอตัมมังคะละมุตตะมัง จัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้น..เป้าหมายที่แท้จริงของเราในการปฏิบัติ ก็คือสามารถขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาด ปราศจากกิเลส มีแต่ความแช่มชื่นเบิกบาน ปราศจากความหวั่นไหวต่อโลกธรรมต่าง ๆ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เกินวิสัยของพวกเรา ถ้าพวกเรารู้จักในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา แปลว่าบารมีที่เราสั่งสมมานั้น เพียงพอที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ ดังนั้น..หน้าที่ของเราในแต่ละวันก็คือ พยายามขัดเกลากำลังใจของตนเองให้ผ่องใส อย่าไหลตามกระแสโลก อย่าไหลตามกระแสกิเลส
หลายท่านในชีวิตจำเป็นต้องใช้เงินทองส่วนเกินไปมากต่อมาก เพราะไหลตามกระแสโลก ไหลตามกระแสกิเลสแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ถ้าเราปฏิบัติไปจนกระทั่งไม่หวั่นไหว ไม่เกรงใจ ไม่ไหลตามกระแสโลกแล้ว เราสามารถประหยัดเงินเหล่านั้นไว้ได้เป็นเท่าตัว ๆ ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำไป จะเกิดประโยชน์สุขทั้งปัจจุบัน ก็คือในชาตินี้กำลังของเรามั่นคงไม่หวั่นไหว มีแต่ความสุข ความผ่องใสในใจของเรา ประโยชน์ชาติหน้าคือ กำลังใจที่มั่นคงย่อมพาไปสุคติ และประโยชน์สูงสุดก็คือ ถ้าสามารถชำระจิตใจของตนให้ปราศจากิเลสได้โดยสิ้นเชิง ก็จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้
ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มที่เข้ามาปฏิบัติของทุกคน ลำดับต่อไป ก็ให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2013 เมื่อ 19:23
|