ขอเล่าบ้างแล้วกันครับ ยาวไปบ้างก็ต้องขออภัยนะครับ 
 
ครั้งแรกที่ทราบว่ามีการจัดงานนี้ ผมมีคำถามขึ้นในใจสองข้อ 
 ข้อแรก ทำไมต้องเป็นพระคาถาเงินล้าน ?
ข้อแรก ทำไมต้องเป็นพระคาถาเงินล้าน ? ทำไมไม่ใช้บทสวดที่คนทั่วไปสวดได้เลย เช่น บทสวดอิติปิ โสฯ 
แต่ประเด็นนี้ผมพอจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ในภายหลัง จึงไม่เป็นประเด็น 
 ข้อสอง ทำไมต้องรบกวนพระอาจารย์ ?
ข้อสอง ทำไมต้องรบกวนพระอาจารย์ ? ทั้ง ๆ ที่รู้กันอยู่ว่าท่านงานเยอะแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่รู้กันว่าวันเสาร์ - อาทิตย์ก่อนหน้านั้นที่วัดท่าขนุนมีงาน 
ในข้อนี้หลังจากได้อ่านที่มาที่ไปของการจัดงานก็ทำให้ผม "เข้าใจอะไร ๆ " ได้มากขึ้น 
 
เนื่องจากตอนแรกไม่เห็นด้วยกับการจัดงาน ก็เลยไม่คิดจะไปร่วมงานด้วย 

แต่หลังจากนั้นก็คิดใหม่ว่า ไหน ๆ ท่านก็รับปากมางานนี้ไปแล้ว เรื่องอื่น ๆ ก็ปล่อยมันเถอะ ไปร่วมงานด้วยดีกว่า 
 
พอถึงวันจันทร์ ก็ใจจดใจจ่อรอให้ถึงเวลางาน แต่แล้วหลังจากได้อ่านกระทู้ 
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะ ๒๐ - ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๖  
ก็เปลี่ยนใจไม่ไปล่ะ กลับบ้านดีกว่า 

 (สัจจะบารมีบกพร่องจริง ๆ ตู 

)

"ความดี ทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็ได้" ถ้อยคำของน้องผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ลอยเข้ามาปลอบใจ สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปร่วมงาน 
 
หลังจากนั้นก็ได้มาอ่านความรู้สึกจากหลาย ๆ ท่านผ่านกระทู้นี้ จึงเกิดความเสียดายอยู่บ้าง 
 

 "ความดี ทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็ได้" ถ้อยคำของไอ้คุณน้องคนเดิมลอยมาเข้าหูอีกครั้ง 
"เอาวะ นั่งสวดถวายท่านที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องเสี่ยงเปียกฝนด้วย อิอิ" 

(วิริยะบารมีบกพร่องไปอีกตัว แฮ่!! 

)
ว่าแล้วก็จัดไป ๑๑๐ จบ เมื่อตอนตีสามที่ผ่านมานี่เอง 
 
 
ไอ้ที่อวด เอ๊ย!!! บ่นมาตั้งแต่แรกก็เพียงแค่จะบอกว่า "ผมสวดพระคาถาเงินล้านถวายสมเด็จพระสังฆราชแล้วนะครับ" 
เนื่องจากหัวกระทู้ไม่ได้ระบุวันเวลาและสถานที่ไว้ ดังนั้นผมจึงน่าจะสามารถบอกความประทับใจในเรื่องนี้ ผ่านกระทู้นี้กับเขาบ้างได้เช่นกัน อิอิ 
 หลายครั้งที่พวกเราได้รับความเมตตาจาก "ท่าน" มาก มากจนสติปัญญาห่วย ๆ แบบผมคิดเอาเองว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ (ในบางครั้ง)
หลายครั้งที่พวกเราได้รับความเมตตาจาก "ท่าน" มาก มากจนสติปัญญาห่วย ๆ แบบผมคิดเอาเองว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ (ในบางครั้ง) 
มากจนบางทีพวกเราก็ลืมกันไปว่า เพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อฉลองศรัทธาญาติโยม เพื่อ... เพื่อ... ฯลฯ 
ต่อให้ร่างกายท่านแย่แค่ไหน ต่อให้แทบจะต้องคลานขึ้นรถ 
แต่เพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อฉลองศรัทธาญาติโยม เพื่อ... เพื่อ... ฯลฯ 
"ท่าน" ก็ยินดีที่จะ "ตอบรับ" อยู่แล้ว มาถึงก็มานั่งให้พวกเราได้ชื่นใจกันในความ "เมตตา" ของท่าน  แล้วหลังจากนั้นล่ะ ?
แล้วหลังจากนั้นล่ะ ? 
ความเมตตาที่ครั้งหนึ่ง ผม "ได้ยิน" มาว่า
"ท่าน" ถึงกับ "เมตตา" ฉันขนมปังบูด เพื่อฉลองศรัทธาญาติโยมที่เอามาถวาย
"ท่าน" ถึงกับ "เมตตา" ป่วย เพื่อจะได้ฉันยาที่มีญาติโยมเอามาถวาย
ฯลฯ 



 
เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็พอจะทำให้เราได้ตระหนักถึงความ "เมตตา" ของ "ท่าน" ได้เป็นอย่างดี 
เราอาศัยความเมตตาของท่านมากจนเกินไปหรือเปล่า ?  เรื่องบางอย่างผมว่า "คิดเอง" บ้างก็ได้ครับ (ผิดไปพลาดไป ก็ถือว่าได้ประสบการณ์) อย่าอาศัยความเมตตาจากท่านมากนักเลย
เรื่องบางอย่างผมว่า "คิดเอง" บ้างก็ได้ครับ (ผิดไปพลาดไป ก็ถือว่าได้ประสบการณ์) อย่าอาศัยความเมตตาจากท่านมากนักเลย
พระอาจารย์เคยกล่าวถึงสุภาษิตจีนบทหนึ่งว่า 
"เมื่อขึ้นมาจากน้ำไยต้องกลัวเปียกฝน" 
บางท่านจึงพูดเปรียบเทียบว่า ไม่ต้องไปกังวลว่าต่อไปท่านจะดังมากขึ้น งานเยอะมากขึ้น เวลาพักมาก เอ๊ย!! น้อยลง (อันนี้ผมเติมเอง แฮ่!! 

) เพราะท่านเตรียมใจไว้แล้ว ฯลฯ 
 
แต่ผมว่า 
แม้ท่านจะเตรียมใจเปียกฝนอยู่แล้ว สิ่งที่พวกเราทั้งหลายควรทำ ก็น่าจะเป็นพยายามหาร่ม หรืออะไร คนละไม้คนละมือ
มาช่วยกันบังแดดบังฝนให้ท่าน ไม่ใช่หรือ ? 
ไม่ใช่ว่าพอรู้ว่าท่านเตรียมเปียกอยู่แล้ว ก็ปล่อยท่านเปียกไป หรือรีบพากันยกชูท่านรับฝนกันเข้าไปอีก!!!  
 
(จะใช้คำว่าบางคนช่วยสาดน้ำเพิ่ม ก็เกรงใจ 

)
 "ความดี ทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็ได้"
"ความดี ทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็ได้" ... เออ เข้าใจแล้วครับคุณน้อง 
