เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอสติไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ให้ดึงความรู้สึกกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ ส่วนคำภาวนานั้น จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดและเคยชินมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือนมิถุนายน ก่อนการเจริญกรรมฐานมีญาติโยมฝากคำถามมา จึงทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น บุคคลเป็นจำนวนมาก เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่ง สภาพจิตจะเริ่มสงบลง แล้วการรู้เห็นต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นของแถมของนักปฏิบัติเท่านั้น คือกำลังใจของเราโดยปกติ จะมีความส่งส่ายวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับน้ำที่กระเพื่อมอยู่ ไม่สามารถที่จะสะท้อนเงาอะไรลงไปได้ แต่เมื่อเราปฏิบัติภาวนาจนสมาธิเริ่มทรงตัว ทำให้กำลังใจของเราสงบแน่วนิ่ง มีความใสสะอาดขึ้น ก็เหมือนกับน้ำใสสะอาดที่นิ่ง สงบ สามารถสะท้อนภาพสิ่งรอบข้างลงไปได้อย่างชัดเจน เมื่อมาถึงระดับนี้การรู้เห็นต่าง ๆ หรือนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นเป็นปกติ
คราวนี้ในจุดที่ต้องระมัดระวังก็คือ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเรา วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติของเราในเบื้องต้น ก็คือจิตสงบ หลุดพ้นจากความวุ่นวายต่าง ๆ รอบข้าง วัตถุประสงค์ลำดับต่อมาก็คืออาศัยกำลังของความสงบนั้นไปพิจารณาเพื่อตัด รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ที่กินใจของเราอยู่ ถ้าสามารถตัดขาดได้ เราก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน
การรู้เห็นเป็นเพียงของแถม เหมือนที่อาตมาเคยเปรียบเทียบไว้ว่า เราไปซื้อรถ เขาต้องให้ล้อรถมาด้วยอยู่แล้ว ดังนั้น..ท่านจะต้องการล้อรถหรือไม่ต้องการก็ตาม ถ้าท่านไปซื้อรถเมื่อไร ท่านก็จะได้ล้อรถมาเมื่อนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น..การรู้เห็นต่าง ๆ ซึ่งเป็นของแถมที่เกิดขึ้น ถ้าเราจัดการไม่เป็นก็จะมีโทษมากกว่าประโยชน์
ส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ เมื่อเห็นนิมิตต่าง ๆ ก็มักจะไปทึกทักเอาว่าเป็นจริงตามนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ครูบาอาจารย์จำนวนมากต่อมากด้วยกัน จะบอกกล่าวอย่างไรก็ตาม ลูกศิษย์ไม่แน่นักว่าจะฟัง เพราะว่าตนเองรู้เห็นจึงเชื่อตามนั้น โดยที่ไม่ได้คิดว่านิมิตบางอย่างก็เป็นการมาทดสอบกำลังใจ นิมิตบางอย่างก็ตั้งใจหลอกลวงกันตรง ๆ ดูว่าเราจะหลงไปยึด ไปติดหรือไม่
ดังนั้น..ในการปฏิบัติของผู้ใดผู้หนึ่งก็ตาม ถ้าเกิดนิมิตเริ่มรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ถ้าไม่ใช่นิมิตตามกองกรรมฐาน ก็ให้เรารับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วอย่าไปสนใจ ให้ดึงความรู้สึกของเรามาอยู่กับการภาวนาตามเดิม แต่เรื่องของนิมิตต่าง ๆ ก็แปลก ถ้าเราสนใจบางทีก็หายไปเลย แต่ถ้าเราไม่ให้ความสนใจก็ยิ่งปรากฏชัด ปรากฏอยู่นาน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2013 เมื่อ 03:35
|