พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่องานวันที่ ๑ พ.ค. ที่วัดเขาวง มีโยมท่านหนึ่งรู้จักกันมานาน บอกว่าตอนนี้กำลังลำบาก ถามว่าไปทำอะไรมา ? เขาบอกว่าไปซื้อขายเงินตราต่างประเทศอยู่ เขาสงสัยว่าทำไมใช้ทิพจักขุญาณดูแล้วว่าตัวนี้จะขึ้น แต่พอซื้อแล้วดันตก ก็เลยทำให้ขาดทุน
อาตมาถึงได้บอกกับเขาไปว่า การใช้ทิพจักขุญาณลักษณะของคุณผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าสภาพจิตไม่สะอาดพอ เอาความโลภขึ้นหน้าไปก่อน ถ้าจะบอกว่าผิดในเรื่องของการทำมาหากินก็ไม่ใช่หรอก คุณผิดมาตั้งแต่แรกโน้น ที่เที่ยวเอาทิพจักขุญาณไปดูว่าใครเป็นเนื้อคู่ของตัวเอง เรื่องในอดีตคือเรื่องของอดีต ปัจจุบันคือปัจจุบัน อย่าเอามาปะปนกัน ถ้ากระแสกรรมชักนำ โอกาสพลาดจะมีทันที เพราะเมื่อกระแสกรรมชักนำ เราไปดูแล้วเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วไปฟื้นความสัมพันธ์กันขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์คนละชาติกัน ต่อให้เป็นจริงก็ตาม ก็เท่ากับว่าเราใช้ทิพจักขุญาณในด้านที่ผิดแล้ว
ทิพจักขุญาณที่หลวงพ่อท่านสอนเรา ท่านต้องการให้เรารู้อดีตเพื่อที่จะได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วอดีตทุกชาติที่ผ่านมาก็มีแต่ความทุกข์ ปัจจุบันนี้เราก็ทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก สมควรที่จะพอได้แล้วหรือยัง ? ถ้าพอแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเราไป
เรื่องทิพจักขุญาณสำคัญที่สุดก็คือ ดูเพื่อที่จะเกรง จะกลัว จะเข็ดกับการเกิดมามีร่างกายนี้ หรือว่ากลัวการเกิดมาในโลกนี้ ไม่ใช่เที่ยวไปดูอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะในลักษณะของการทำมาหากิน อย่าดูด้วยตัวเอง เพราะว่าตัวเองพอถึงเวลาดูอดมีรัก โลภ โกรธ หลงเข้าไปแทรกไม่ได้ โอกาสที่พลาดจะมีมาก ถ้าจะคนอื่นดูให้ก็ต้องมั่นใจว่าเขามีความแม่นยำถูกต้องจริง ๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะแม่นในระยะแรก พอนานไป ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเข้ามา แทนที่จะดูเพื่อสงเคราะห์คนอื่นก็ดูเพื่อลาภ ดูเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ
ในเมื่อความตั้งใจผิดเสียแล้ว ต่อไปเรื่องที่เราดูอยู่ก็จะผิดไปด้วย ได้ยินเขาปรารภก็สงสารเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ต้องบอกว่ากรรมใครกรรมมัน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-05-2013 เมื่อ 02:43
|