ถาม : เมื่อก่อนจะนั่งไปแล้วมีปีติ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีค่ะ ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้แย่ลง ไม่ปีติเลยใช่ไหม ? ..(หัวเราะ).. ส่วนใหญ่คนเราจะเข้าใจผิด อยากจะบอกว่าปีติเป็นแค่เด็กชั้นประถม พอเราทำไป ๆ สภาพจิตเคยชินกับความดีก็จะก้าวข้ามปีติไป ถ้าก้าวข้ามปีติไปแปลว่าเราทรงฌานในความดีนั้นได้
ในเมื่อทรงฌานในความดีนั้นได้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความดีนั้นยังมีอยู่ ไม่ได้ถดถอยไปไหน ? ก็ให้ดูว่าเรายังยินดีในการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติหรือเปล่า ? ถ้าเรายังยินดีที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติ ก็แปลว่ากำลังใจเราก้าวข้ามความดีจากปีติไปเป็นฌานแล้ว
เราทำอะไรก็เลยรู้สึกเฉย ๆ ไม่มีปีติอีก ไม่ได้หมายความว่ากำลังใจลดลง หากแต่ก้าวสูงไปจากเดิม ถ้าอยากจะปีติอีกก็ต้องลดกำลังใจลงมา ซึ่งถ้าไม่คล่องตัว ลดไม่เป็นก็ไม่เจอหรอก
ฉะนั้น..คนที่ทำบุญไปนาน ๆ แรก ๆ มีปีติ หลังจากนั้นก็ตายด้าน เฉย ๆ ไป ไม่ใช่กำลังใจแย่นะจ๊ะ กำลังใจดีขึ้น แต่เราไม่รู้ว่ากำลังใจดีขึ้น ก็ไปคิดว่า เอ..เราเลวลงหรือเปล่า ? ทำไมตอนนี้ทำบุญไม่มีความปีติเลย ? นั่นกลายเป็นฌานไปแล้วจ้ะ เป็นฌานก้าวข้ามปีติไปแล้ว แต่พิจารณาง่าย ๆ ว่าเรายังยินดีทำสิ่งนั้นเป็นปกติ ถึงเวลามีบุญมีกุศลที่ไหน เราก็เต็มใจทำ ถึงเวลาเราก็รักษาศีล เจริญภาวนาได้ ก็แปลว่าเราทรงฌานในความดีได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:28
|