ถาม : ทำไมปรทัตตูปชีวีเปรตไม่สามารถอนุโมทนาบุญได้ เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วพวกเปรตอยู่ในส่วนของบุคคลที่ยังหนาด้วยบาปกรรมอยู่ ไม่สามารถที่จะโมทนาบุญคนอื่นได้ ต้องรอกรรมเบาบางลงจนถึงระดับที่โมทนาบุญได้ จึงจะเรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ก็แปลว่าเปรตทุกจำพวกสามารถที่จะเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยต้องรอจนกว่ากรรมของตนจะเบาบางและได้โมทนาบุญ ซึ่งส่วนใหญ่บุญที่โมทนาก็จำกัดว่าจะต้องเป็นบุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมา หรือเป็นญาติเป็นโยมกันมา ถ้าเป็นคนอื่นก็ยังโมทนากับเขาไม่ได้ หรือไม่เขาก็อาจจะไม่นึกถึงเลย เพราะส่วนใหญ่เขาจะให้แต่ญาติของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องรอจนกระทั่ง ๙๑ กัปล่วงไป กรรมของตัวเองเบาบางลง ขณะเดียวกันญาติก็มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร ถึงได้ทำบุญอุทิศไปให้โมทนาได้
ดังนั้น..ไม่ว่าจะว่ากล่าวกันตามลักษณะของพระวินัย หรือว่าในเรื่องของคัมภีร์บาลีต่าง ๆ บางทีก็กล่าวถึงเปรต ๑๒ จำพวกบ้าง ๒๑ จำพวกบ้าง จริง ๆ แล้วก็คือแตกรายละเอียดออกไปอีก อย่างเช่นเขากล่าวถึงเปรตที่มีขนเป็นอาวุธ ทางด้านโน้นก็ไปแตกออกว่ามีขนเป็นหอก มีขนเป็นดาบ มีขนเป็นพระขรรค์ ปาเข้าไป ๓ อย่างแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยกลายเป็นว่า จำนวนเปรตมีไม่เท่ากัน แต่ความจริงก็แค่ให้รายละเอียดเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง
แต่ว่าเปรตทุกจำพวกต้องรอจนผลกรรมเบาบางลง จึงสามารถโมทนาบุญได้ เขาเรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ก็คือเป็นผู้ตายไปแล้วซึ่งยังชีพด้วยการอาศัยผู้อื่น ปร (ปะระ) แปลว่าอื่น ใครเคยท่องบาลีก็จะเจอคำนี้
ถาม : ต้องเนื่องด้วยญาติของตัวเองด้วยจึงจะโมทนาได้ ?
ตอบ : เป็นญาติหรือเป็นบุคคลที่มีกรรมเนื่องกันมา ไม่อย่างนั้นแล้วต่อไม่ติด เพราะเป็นโทรศัพท์คนละเบอร์
เราอาจจะคิดว่าทำไมโหดร้ายขนาดนั้น ก็ต้องบอกว่า ตนเองทำไม่ดีไว้มาก พอถึงเวลากรรมก็ต้องส่งผลให้เป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีใครไปบังคับเขาหรอก แต่ว่าในส่วนกรรมไม่ดีที่ตนเองได้ทำไว้ ทำให้เป็นเช่นนั้นเอง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-03-2013 เมื่อ 14:38
|