พระอาจารย์กล่าวว่า "การดำรงชีวิตอยู่ในโลก ต้องเจอแต่สิ่งที่ไม่ชอบใจทั้งนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถึงมองเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ เป็นภัย แต่บุคคลทั่วไปที่ปัญญาไม่ถึง จะมองไม่เห็นตรงจุดนี้
อย่างที่พูดไว้เมื่อวานนี้ว่า เขาตั้งทฤษฎีเก่า ๆ ขึ้นมา แล้วก็จำจนฝังหัวไปแล้วว่า บุคคลที่จะหลุดพ้นได้ต้องทรมานตนเท่านั้น หรือไม่ก็จะต้องเสพสุขให้ล้นเกินจนเบื่อไปเลย แล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ถ้าเราไปที่เมืองฤๅษีเกษของอินเดีย จะเห็นว่า บรรดาพวกนักบวชต่าง ๆ ก็ยังทรมานตนเป็นปกติ
บางคนประเภทเหยียดแขนขึ้นฟ้าข้างเดียว จนกระทั่งติดกันเป็นแท่ง ลดไม่ลงเลย เพราะระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ทำอยู่อย่างนั้น ทาตัวด้วยขี้เถ้า ไม่อาบน้ำตลอดระยะเวลาที่บวชมา ยี่สิบ - สามสิบปี หัวเป็นสังกะตัง ใช้หวีไม่ได้เลย แต่เขาเชื่อว่านั่นจะทำให้หลุดพ้น เพราะว่าสภาพจิตจะได้ไม่ยึดหน่วงอยู่กับร่างกาย
แต่กลายเป็นว่ายิ่งยึดหนักขึ้นไปอีก ที่ยิ่งยึดหนักขึ้นเพราะเขาไปเน้นเรื่องร่างกาย เขาไม่ได้เน้นว่าอยู่ที่จิตใจ สภาพโดยแท้จริงแล้วร่างกายของคนและสัตว์อยู่ในลักษณะ 'ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว' พระพุทธเจ้าเห็นความจริงตรงนี้ถึงได้ตรัสว่า
มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจสูงสุด สำเร็จได้ด้วยใจ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2013 เมื่อ 18:07
|