ถาม : อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนชาวบ้านทั่ว ๆไป ให้คิดตัดร่างกายช่วงตื่นใหม่ ๆ กับก่อนหลับ แล้วท่านบอกว่าคนเหล่านั้นไปพระนิพพานได้ นั่นไปได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานไม่ได้ก็ไปไม่ได้สักคน การจะตัดกิเลสระดับอนาคามีหรืออรหันต์ต้องได้เท่าฌานสี่ ถ้าไม่ได้ก็ตัดกิเลสไม่ไหว แต่คราวนี้สายสุกขวิปัสสโกบางทีทรงฌานได้ไม่รู้ตัว คือตัวเองพิจารณาธรรมไปเรื่อย ๆ แล้วก็ตัดกิเลสได้ แต่ความจริงตอนพิจารณาธรรมจิตจะนิ่งดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นฌานในระดับนั้นถึงจะตัดได้ แปลว่าท่านทรงฌานได้แต่บางท่านก็ไม่รู้ว่าตัวเองทรงฌานได้ บางทีกว่าจะรู้ก็ทรงฌานซะเต็ม ๆ แล้ว ตัดกิเลสไปแล้วยังไม่รู้เลย
คราวนี้บุคคลที่จะไปพระนิพพาน ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เห็นพระนิพพานในลักษณะของมโนมยิทธิหรือในลักษณะทิพจักขุญาณของอภิญญา หรือว่าไปทั้งตัวแบบอภิญญาใหญ่ บุคคลที่ทำถึงกระแสพระนิพพาน ความสงบเย็นจากการปราศจากกิเลสจะบ่งชัดอยู่ในใจตนเอง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถึงได้รู้ว่านิพพานมีจริง พูดง่าย ๆ แล้วคือสำหรับท่านแล้ว ไม่ว่าตรงไหนก็คือนิพพาน กิเลสหมดแล้วนี่ ถ้ากิเลสไม่หมดก็ยังเลือกอยู่ ถ้ากิเลสหมดแล้วตรงไหนก็นิพพาน เพราะฉะนั้นท่านมั่นใจว่าตรงไหนก็นิพพาน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
|