สมัยก่อนบรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ เขาไม่ใช่มีคนนับถือเปล่า ๆ เขาเองมีลัทธิสารพัดสารเพตั้ง ๖๒ ลัทธิ แบ่งเป็นปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ ๑๘ ลัทธิ อปรันตกัปปิกทิฏฐิ อีก ๔๔ ลัทธิ รวมแล้วเป็น ๖๒ ลัทธิ มีคนนับถือกันเต็มบ้านเต็มเมือง ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่า ลัทธิโง่ ๆ แบบนี้ทำไมมีคนนับถือกันมาก ปรากฏว่าเขาไม่ได้โง่ อาตมาโง่เอง..!
พวกปุพพันตกัปปิกทิฏฐิเขาระลึกชาติได้ แต่ละคนระลึกชาติได้ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ครึ่งกัปบ้าง หนึ่งกัปบ้าง คราวนี้การที่เขาเห็นไม่เท่ากัน ก็เลยต้องตั้งทฤษฎีการเกิดไม่เหมือนกัน จึงกลายเป็น ๑๘ ลัทธิ
ส่วนอปรันตกัปปิกทิฏฐินั้นเห็นอนาคต บางคนเห็นตัวเองเป็นอากาสานัญจายตนพรหม เป็นวิญญาณัญจายตนพรหม เป็นอากิญจัญญายตนพรหม เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนพรหม เป็นรูปพรหมชั้นต่าง ๆ ไล่ไปเรื่อย ในเมื่อเขาเห็นไม่เหมือนกัน บางคนเขาเห็นว่าเป็นเทวดา บางคนก็เห็นว่าจะลงนรก ก็ต้องตั้งลัทธิที่ไม่เหมือนกันขึ้นมา
คราวนี้เขาเห็นเอง เขาพูดได้เต็มปากเต็มคำ ยืนยันผลได้ พวกลูกศิษย์จึงเชื่อแล้วปฏิบัติตาม ฉะนั้น..พวกศาสดาเจ้าลัทธิเก่า ๆ ของเขาไม่ใช่สักแต่ว่าคนนับถือเฉย ๆ เขามีความสามารถที่แท้จริง เพียงแต่ที่จะรู้รอบแล้วเก่งจริงเท่าพระพุทธเจ้านั้นหาได้น้อยมาก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 02:35
|