อนึ่ง จะเห็นได้จากลายพระหัตถ์ที่มีถึงท่านอ๋อย (๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙) และถึงผม (๘ ก.ค. ๒๕๑๙) ท่านรับว่า ท่านทรงศีล ๕ เป็นปกติ.. แต่ใจมันอยากอยู่ในอุโบสถศีลเป็นปกติ และผมก็ขอยืนยันตามเหตุผลในข้อ ๙ ตามตำราศีล ๘ คือ ศีลของพระอนาคามี เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของท่าน เมื่อมีคุณธรรมถึงอนาคามี ศีล ๘ จะปรากฏเอง ไม่ใช่แกล้งทำ หรือต้องบังคับให้เป็นศีล ๘ เหมือนกับผมซึ่งพยายามรักษาศีล ๘ ไว้เกิน ๑๐ ปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีคุณธรรมของพระอนาคามีปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ในขณะนี้มีเป็นแสน ๆ คน แต่ผู้ที่มีคุณธรรมครบหายากจริง ๆ แม้แต่พระสมมุติสงฆ์และสามเณรกว่า ๓ แสนรูปก็เช่นกัน (ยังไม่รวมพวกชีอีกไม่รู้เท่าใด ผมเคยสนทนาด้วยกับชีบางคน พบว่า ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าศีล ๘ มีอะไรบ้าง น่าเศร้าจริง ๆ)
ดังนั้น การถือศีล ๘ จึงไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร หากผู้ใดถือศีล ๘ แล้วไปเที่ยวอวดผู้อื่น หวังประโยชน์จากการถือศีล ๘ ในทางโลก (โลกธรรม) เพื่อตนก็น่าเศร้าเช่นกัน ผู้ถือศีล ๘ โดยขาดปัญญา จึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้จิตใจเศร้าหมอง (จิตเป็นกิเลส หรือเกิดกิเลส) เนื่องจากความฟุ้งซ่านของจิต
ความสงสัยที่เกิดกับจิตว่า สิ่งที่ตนทำไปนั้น ที่ตนกินไปนั้น ที่เวลาเกินเที่ยงไปนั้น มันจะผิดศีลหรือเปล่า จิตเต็มไปด้วยความสงสัย ความระแวง จิตจึงเกิดกิเลส เมื่อกิเลสเกิดอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ย่อมเกิด (ตัณหา) เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ผลคือจิตก็ปรุงแต่งไป และสร้างอกุศลกรรมต่อทางใจไปสู่ทางวาจา และออกทางกายในที่สุด และมีบางคนถือศีล ๕ ยังไม่ครบเลย เห็นเขาถือศีล ๘ ก็ถือกับเขาบ้าง โอกาสใกล้นรกจึงมีมากขึ้น ผู้ใดมีปัญญาให้ใช้วิธีของหลวงพ่อท่าน คือถือเฉพาะเวลา เช่น ตอนเจริญกรรมฐาน เจตนาคือตัวบุญ ขอให้บริสุทธิ์จริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ จิตก็จะไม่เศร้าหมอง
|