| 
				 เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน  วันอาทิตย์ที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ 
 
			
			ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบาย ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติทั้งหมดอยู่เฉพาะหน้า เวลาหายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป เวลาหายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ตามความถนัดมาแต่เดิมของเรา 
 วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของเดือนนี้  จากเมื่อครู่ที่มีการถามปัญหาต่าง ๆ นั้น ทำให้สามารถรู้ได้ว่า  ในเรื่องของการปฏิบัติภาวนานั้น  พวกเราส่วนหนึ่งยังขาดความจริงจังเป็นอย่างมาก
 
 การที่เราขาดความจริงจัง จริงใจในการปฏิบัติ ทำแล้วไม่สม่ำเสมอ มีลักษณะทำ ๆ ทิ้ง ๆ  นอกจากจะทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้าแล้ว ยังอาจจะถอยหลังเสียด้วยซ้ำไป เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการทวนกระแสโลก เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำ  เมื่อว่ายไประยะหนึ่งแล้วเราก็รามือ  ปล่อยให้กระแสโลกพาเราไหลตามไป เมื่อได้เวลาที่กำหนดไว้ก็ตั้งหน้าตั้งตาว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นก็รามือปล่อยให้กระแสน้ำพัดกลับไปอีก
 
 กลายเป็นว่าทุกวันเราทำงานด้วยความขยัน  แต่ไม่ได้มีผลงานเลย ยิ่งถ้าวันใดเหนื่อยมาก เพลียมาก ไม่สามารถจะภาวนาได้ในระยะเวลาเท่าเดิม ก็เท่ากับว่าเราว่ายทวนกระแสขึ้นมาได้ไม่เท่าเดิม กลายเป็นขาดทุนไปอีก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราจึงต้องสังวรเอาไว้  ว่าการปฏิบัตินั้นควรจะทำให้เห็นผลจริง ๆ
 
 การที่เราจะทำให้เห็นผลจริงนั้น เราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็แล้วแต่ อยู่ที่เราถนัดและชอบใจ ไม่ต้องเปลี่ยนคำภาวนา ให้ใช้ตามของเดิมที่เราเคยมาก่อน สภาพจิตมีความเคยชิน จะได้ทำให้เข้าสู่สมาธิได้ง่าย และโดยเฉพาะตัวที่ขวางการเข้าสู่สมาธิของเราก็คือ การอยากให้เกิดผลดีไว ๆ ตัวที่อยากให้เกิดผลดีนั่นแหละ แสดงออกซึ่งความฟุ้งซ่าน แสดงออกซึ่งความที่จิตของเราไม่รวมตัวเป็นหนึ่ง แล้วผลของสมาธิจะเกิดได้อย่างไร ?
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2012 เมื่อ 02:48
 |