![]() |
อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๖๕ : ลูกสาวมาหา
๖๕. ลูกสาวมาหา “ราหุลํ ชาตํ พนฺธนํ ชาตํ” เจ้าชายสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์ ทรงเปล่งอุทานออกมาเมื่อทราบว่า พระชายาพิมพาราชเทวีมีพระประสูติกาล เป็นพระโอรสหน่อเนื้อแห่งบรมกษัตริย์ศากยราช... “บ่วงได้เกิดขึ้นแล้ว เครื่องผูกพันได้เกิดขึ้นแล้ว” เป็นวาจาที่แสดงถึงความตระหนกอย่างยิ่ง หนทางที่จะออกสู่มหาภิเนษกรมณ์คล้ายดังถูกปิดตันลงทันที... โบราณกล่าวว่า “ลูกเปรียบประดุจโซ่ทองคล้องใจ” นับว่าเปรียบเทียบได้ลึกซึ้งโดยแท้ มันคล้องใจรัดใจจริง ๆ หากไม่มีปัญญาวุธอันคมกล้า ก็ยากจะตัดให้ขาดได้... มีบาลีกล่าวไว้ว่า “ปุตตํ คีเว ภริยํ หตฺเถ ธนํ ปาเท” แปลเป็นใจความว่า “ห่วงลูกผูกคอ ห่วงภรรยา (สามี) ผูกมือ ห่วงทรัพย์สมบัติผูกเท้า” จะกินอะไรแต่ละที พ่อ – แม่ก็ต้องนึกก่อน เจ้าตัวน้อยจะมีกินหรือเปล่า...? ของที่กลืนได้ก็พาลฝืดคอ ต้องเก็บไว้ให้ลูก กลัวลูกจะอด เหมือนถูกรัดคอไว้พาให้กลืนไม่ลง... อยู่คนเดียวสบาย ๆ ไปหาสามี – ภรรยามาพาให้ทุกข์ แทนที่จะลำบากคนเดียวก็มีปากมีท้องมาเพิ่ม ต้องทำงานหนักขึ้นเป็นเท่าตัว เหมือนถูกล่ามมือติดอยู่กับงาน... มีทองเท่าหนวดกุ้งนอนสะดุ้งจนเรือนไหว ถ้ามากกว่าหนวดกุ้งมิถึงกับเรือนทรุดเลยหรือ ? จะไปไหนก็ไปได้ไม่ไกล ต้องรีบกลับมาดูแลทรัพย์สิน อย่างกับถูกตีตรวนติดไว้ก็ไม่ปาน แต่สมเด็จพระบรมพรหมพงศ์โพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีมาเพื่อตรัสรู้ จึงหักห่วงบ่วงมารทั้งหลายออกผนวชค้นหาธรรม จนบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยพระปัญญาอันปรีชายิ่ง สุดที่สิ่งใดจะมาร้อยรัดได้... สมเด็จพ่อทรงมีทุกอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ยิ่งกว่าผู้ใด แต่ก็หาได้ยึดติดไม่ ทรงสละละวางทุกสิ่งเพื่อแสวงหาสัจธรรม ตรากตรำพระวรกายแทบจะสิ้นลมปราณ กว่าจะบรรลุฝั่งแห่งวัฏฏสงสาร... ตัวเราเล่า...? ไม่มีทางเปรียบใด ๆ เลยเป็นอันขาด อีกกี่แสนชาติก็ผูกขาดจองขาด อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาทตลอดไป ไม่มีอะไรจะละกลับยึดถือไขว่คว้ามาตามแต่ตัณหาจะบัญชาการ... หาเหาใส่หัวนะซิ...รับเอาลูกเขามาเป็นภาระ เจ้าประคุณเอ๋ย...ทีนี้ละซึ้งถึงความทุกข์ของพ่อ – แม่ อะไร ๆ แทบจะต้องคิดแทนทำแทนไปซะทุกอย่าง...สมน้ำหน้าตัวเอง... มันให้ห่วงใยให้กังวลไปสารพัด ถ้าลูกผู้ชายยังพอจะปล่อยได้วางได้ นี่ทั้งห้าคนเป็นผู้หญิงล้วน ๆ ยิ่งกว่าเอาเนื้อวางไว้ที่จมูกเสือเสียอีก ดูแลรักษาสุดจะยากเย็นเข็ญใจ... เผชิญกับปัญหาร้อยแปดพันเก้า หวานสู้อมขมสู้กลืน ฝืนทำหน้าชื่นไป ทำอย่างไรได้...รับเอากระดูกมาแขวนคอแล้ว ก็ต้องทนจนกว่ากระดูกจะผุพังหล่นหายไปเอง... ใกล้รุ่งของคืนวันหนึ่ง... ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) ลูกสาวคนโตที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้าหม่นหมองครองทุกข์ พอเห็นหน้าอาตมาก็โผเข้ากอดในทันที.. อาตมาสะดุ้งใจ นี่เราตื่นอยู่ กำลังภาวนาด้วย ไม่มีทางที่จะเกิดอุปาทานได้ หรือเป็นนิมิตของมาร...? แต่น้ำหนักตัวไออุ่นจากร่าง บอกชัด ๆ ว่านี่ของจริง...! ปล่อยให้ลูกเขากอดไป สัมผัสจากใจบอกว่าลูกกำลังทุกข์ใจสาหัส จนต้องบากหน้ามาหาพ่อ...เอาเถอะลูกเอ๋ย...พ่ออยู่นี่แล้ว อย่าได้กลัดกลุ้มกังวลไปเลย.... สิบห้านาทีเต็ม ๆ ที่นอนภาวนานิ่งเฉย แต่เหลือบตาดูนาฬิกาปลุกตลอดเวลา เฝ้าคอยว่าเมื่อไรจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ในใจมีแต่ความรักความสงสารสุดหัวใจ... ในที่สุด...ร่างที่ชัดเจนว่าเป็นกายเนื้อของมนุษย์ ก็ค่อย ๆ บางลงเรื่อย ๆ จนจางหายไป อาตมาดึงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ใจยังทรงคำภาวนาอยู่เป็นปกติ คิดหาสาเหตุว่ามาจากอะไร...ตัดเรื่องธิดาพญามารไปได้เลย เพราะเชื่อมั่นว่าในอารมณ์ช่วงนั้นมารแทรกไม่ได้เด็ดขาด แล้วทีท่าของลูกที่มาก็เพื่อหาที่พึ่งจริง ๆ เพียงพบหน้าพ่อก็พอใจแล้ว... เป็นไปได้อย่างหนึ่งก็คือ ลูกเขาส่งกำลังใจทั้งหมดมาหา กายในเลยหลุดมาแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง โดยที่ลูกเองก็คงไม่รู้ตัว แต่บังเอิญพ่อรับสัมผัสได้... จะไปยากอะไร...พอพบหน้าก็ถามเอาตรง ๆ ลูกเขาก็ยอมรับว่าช่วงนั้นกลุ้มใจมาก คิดถึงหลวงพ่อใจจะขาด เลยไปหาจนถึงกุฏิ เก่งไม่เบานิลูกเรา...! พอมีหนึ่งก็มีสอง ไปได้สักครั้ง ครั้งต่อไปก็ไม่มีปัญหา ยิ่งการเดินทางของกายใน แค่คิดก็ถึงแล้ว ก็ยิ่งสะดวกใหญ่ พบลูกทีไรแปลว่าตัวจริงกำลังร้องไห้ทุกที...! ประสบการณ์แบบนี้อาตมาเคยพบมาก่อน ตอนนั้นน้องแสงชัยป่วยเป็นเชื้อราที่ฝ่าเท้าสองข้าง เน่าลามขึ้นมาข้างบน ต้องไปหาหมอจีนเอายามารักษา... ยาจีนแสดงผลทางขับเชื้อรุนแรงมาก น้องแสงชัยเจ็บปวดจนร้องโอดโอย อาตมาสงสารน้องจึงนั่งภาวนา ส่งกำลังใจจากวัดไปช่วยเหลือน้องชายที่กรุงเทพฯ... พอหายป่วยน้องแสงชัยก็ไปวัด กราบขอบคุณที่อาตมาช่วยร้กษาให้ “เฮ้ย...ข้าไม่เกี่ยว...” “หลวงพี่อย่าปิดผมเลย ผมเห็นหลวงพี่นั่งอยู่ทางปลายเท้าทั้งคืน...!” แค่เราคิดเขาก็เห็นเป็นตัวเป็นตนแล้ว ดังนั้น...ที่ลูกปุ๊กใจจดใจจ่ออยากให้พ่อช่วยก็คงเป็นแบบเดียวกัน จิตคงออกไปในลักษณะการใช้มโนมยิทธิแบบเต็มกำลังนั่นเอง... ก่อนธุดงค์ไปเมืองลับแลแม่สาน อาตมาบอกกับลูกปลา (ปราณี ขวัญเพ็ญ) ลูกสาวคนกลางว่า “ถ้าสิ้นเดือนไม่ได้ข่าว หนูก็หาพ่อใหม่เลยนะ” เห็นลูกหน้าเสียเลย คงคิดไม่ถึงว่าจะหนักหนาปานนั้น... เข้าถึงแม่สาน ตกค่ำกางกลดอยู่เชิงเขาริมห้วย กลางคืนนอนภาวนาอยู่ พอห้าทุ่มกว่าขยับตัวเปลี่ยนท่า รู้สึกว่ามีใครมาอยู่นอกกลดด้านปลายเท้า “ผี...?” คว้าไฟฉายได้ก็ลุกนั่ง อุทิศส่วนกุศลให้แล้วยังมาหลอกกันแบบนี้ก็สวยซิ...! เงื้อไฟฉายจะฟาดให้จั๋งหนับ แล้วกลับเปลี่ยนใจขอดูหน้าผีหน่อยน่า...“อ้าว...ลูกปลา หนูมาได้อย่างไร...?” อีหนูขยี้ตาเพราะโดนไฟส่องเข้าเต็มหน้า ตอบเสียงง่วงนอนว่า “หนูเป็นห่วงหลวงพ่อค่ะ...เลยตามมาดู” เกือบตีกบาลลูกตัวเองแล้วมั้ยล่ะ...! รายนี้เรียนอยู่ร.ร.พระสุธรรมยานเถรวิทยา นักเรียนของที่นี่ต้องฝึกมโนมยิทธิได้จึงจะมีสิทธิ์เข้าเรียน ดังนั้นการที่เขาตามมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย... ปล่อยเขานอนนอกกลดอยู่อย่างนั้น ประมาณตีหนึ่งครึ่งก็ค่อย ๆ เลือนหายไป แสดงว่าตัวจริงคงหลับ กำลังใจขาดช่วงต่อไม่ติด กายทิพย์จึงกลับร่างเดิม... จากที่เล่ามาเป็นที่ยืนยันได้ว่า การถอดจิตไปไหน ๆ เป็นเรื่องกล้วย ๆ ปัจจุบันนี้มีคนทำได้นับแสนคนแล้ว ท่านล่ะ...? พอจะเชื่อเรื่องแบบนี้หรือไม่...? ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๓ พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:17 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.