![]() |
ปกิณกธรรม ช่วงบวชเนกขัมมะปีใหม่ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
การทรงอารมณ์กรรมฐานช่วงเช้าแล้วต่อด้วยการทำวัตรเช้า เป็นการฝึกการทรงฌานใช้งาน ฌานใช้งานต้องใช้ได้ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ถึงจะใช้การได้ การมาที่นี่เราได้ฝึกกรรมฐาน ๔๐ กอง บวกมหาสติปัฏฐานสูตร บวกมโนมยิทธิ แล้ว ยังบวกฌานใช้งานเข้าไปอีกด้วย
|
ถึงเวลาเราต้องสามารถลดสมาธิลงมาทำวัตรได้ เพิ่มสมาธิขึ้นไปเพื่อหนีกิเลสได้ ต้องระดับนั้นถึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะมีแต่สมาปัชชนวสี คือความชำนาญในการเข้าสมาธิ ไม่มีวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากสมาธิ นอกจากนั้นแล้วยังมีการเข้าฌานตามลำดับ เข้าฌานสลับฌาน ที่ภาษาบาลีใช้คำว่า พิจารณาตามลำดับฌาน การเข้าฌานตั้งเวลา และอื่น ๆ อีกมากมาย
ถึงเวลาเจริญพระกรรมฐานแล้ว คลายสมาธิออกมาทำวัตร ต้องคลายออกมาด้วยความระมัดระวัง แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งจดจ่ออยู่กับภาพพระหรือพระนิพพานไว้ แล้วใช้กำลังส่วนใหญ่ของเราในการควบคุมร่างกายให้สวดมนต์ทำวัตร เวลาจะกราบพระจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไร ต้องหน่วงกำลังใจของเราให้นิ่งอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งภายในร่างกายก็ได้ ภายนอกร่างกายก็ได้ แล้วค่อยกราบ สมาธิจะได้ไม่หลุด |
สมัยที่อาตมายังอยู่วัดท่าซุง เร่งการปฏิบัติแทบเป็นแทบตายเพราะว่าอายหมา มีหมาตัวหนึ่งชื่อ "ทหาร" ถึงเวลาจะตามพระไปสวดมนต์ทำวัตรทำกรรมฐานทุกวัน พอพระขึ้น “โยโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ” เจ้าทหารหมอบปั๊บ ทรงฌาน ๔ เต็มระดับ ใจใสปิ๊งทั้งดวง พออุทิศส่วนกุศลเสร็จ กราบพระ “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา” เจ้าทหารลุกขึ้นสะบัดพรืด วิ่งไปเตรียมตัวเจริญกรรมฐานต่อ เขาทรงฌานตั้งเวลาได้ด้วย..! นึกจะเข้า นึกจะออกเมื่อไรก็ได้ อาตมาอายหมาก็เลยต้องเร่งตัวเอง..!
|
ตอนเจ้าทหารตาย หลวงพ่อวิรัชไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ทหารตายแล้วไปไหนครับ ?" ท่านบอกว่า "ทหารไปเป็นพรหม ตามกำลังฌานของตัวเอง อาตมาว่าถ้าไม่ใช่เพราะทหารเป็นหมา หมาอยู่ในเขตที่จำกัดว่าไม่สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ ทหารก็อาจจะบรรลุมรรคผลไปแล้ว..!
|
อาตมาเป็นขโมย ถึงเวลาคุยอารมณ์ปฏิบัติกับใคร ใครได้เยอะกว่าเป็นเสร็จอาตมาหมด ถามเขาว่าอารมณ์ใจเป็นอย่างไร ? เขาอธิบายให้ฟังเสร็จ อาตมาก็ได้ตรงนั้นเลย ขโมยกันต่อหน้าต่อตา ไม่กี่นาทีก็ไล่เขาทัน หลังจากนั้นก็ซักซ้อมเพื่อความคล่องตัว เพื่อความแม่นยำสักสองวัน คราวนี้ก็จะแซงเขาแล้ว เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องหัดขโมยให้เป็น พูดถึงอะไรต้องได้อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นจะเสียเวลาปฏิบัติธรรมนานมาก
|
กาเลนะ ธัมมัสสากัจฉา..การสนทนาธรรมในเวลาอันสมควร เอตัมมังคะละมุตตะมัง..จัดเป็นอุดมมงคล ให้ลองสังเกตดูว่าเวลาโยมฟังอาตมาคุยอยู่ ใจโยมไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง ตั้งใจฟัง สมาธิจดจ่ออยู่ตรงหน้า ไม่มีกามฉันทะ ไม่มีพยาบาท ไม่มีถีนมิทธะ ไม่มีอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่มีวิจิกิจฉา แล้วจะไม่เป็นมงคลได้อย่างไร..?
|
การสนทนาธรรมในเวลาอันสมควรถือเป็นมงคล เพราะว่าเราส่งใจไปตามธรรม แต่พวกที่คุยกันทั้งวันนั้นเกินควร ในเมื่อเกินสมควรก็ไม่เป็นเอตัมมังคะละมุตตะมัง พอเหมาะ พอดี พอควร ถ้าไม่พอเหมาะ ไม่พอดี ไม่พอควร ผลร้ายจะมีมากกว่าเพราะว่าจะไปฟุ้งซ่านแทน
ดังนั้น...มัชฌิมาปฏิปทาคือทางสายกลางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบ สามารถใช้ได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม เพราะว่าพระพุทธเจ้ารู้จริง ในเมื่อรู้จริง สิ่งที่พระองค์ท่านสอนมาก็มีผลจริงตามนั้น แต่สำคัญตรงที่เราต้องเป็นคนจริงด้วย..! ถ้าไม่เป็นคนจริงก็กลายเป็นทัพพีขวางหม้อแกง จุ่มอยู่ในหม้อแกงทั้งอัน แต่ไม่รู้ว่าแกงนั้นมีรสชาติเป็นอย่างไร |
ถ้าเราไม่มีความคล่องตัว สภาพจิตแบ่งเป็นหลายงานไม่ได้ พลาดอันใดอันหนึ่งแล้วจะพลาดทั้งหมด อย่างน้อยต้องแบ่งกำลังใจให้ได้เท่า ๆ กัน ให้กับทุกส่วนที่เราแยกไปทำ แต่ก็อันตรายตรงที่ว่าถ้าควบคุมไม่ดี เราภาวนาอยู่ อีกใจหนึ่งไปฟุ้งซ่านได้ บางคนก็สงสัยว่าภาวนาพุทโธ...พุทโธ ใจก็ดิ่งดี แต่ทำไมถึงคิดนั่นคิดนี่ได้
นั่นคือลักษณะของการที่จิตแบ่งออกเป็นหลายดวง ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ถ้าเรารู้สึกว่าวุ่นวายมาก ก็ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกทั้งหมด พุทโธ..พุทโธ..อยู่ตรงหน้า จิตจะไปไหนห้ามไป ล็อกไว้ตรงหน้า สักพักก็จะนิ่งไปเอง ไม่เช่นนั้นแล้วจะภาวนาไปฟุ้งซ่านไป ใจก็จะขุ่นซีกหนึ่ง ใสซีกหนึ่ง |
กรรมฐานเปรียบเหมือนเราปลูกพืชลงบนแผ่นดิน เรามีหน้าที่รดน้ำพรวนดิน งอกเป็นต้นอ่อนขึ้นมาก็ระมัดระวัง ไม่ให้หนอน ไม่ให้แมลงมากิน หนอนแมลงที่กินบ่อยที่สุดคือนิวรณ์ ๕
๑. อารมณ์ใจที่ข้องอยู่ระหว่างเพศ ซึ่งมีได้เป็นปกติ แต่ตอนปฏิบัติอย่าให้มี เพราะว่าถ้ามีแล้วกำลังใจจะไม่ทรงตัว ๒. ความโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นคนอื่น เป็นไฟเผาใจเราเอง ๓. ความง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจปฏิบัติ ๔. ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ทำไปจะได้จริงไหมหนอ..? คนทำได้นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วยังจะสงสัยอีก..! หนอนแมลง ๕ ตัวนี้กินอยู่ทุกวัน ต้นกรรมฐานใบหงิกใบง่อย ยอดด้วนรากขาด ไม่ต้องโตกันสักที |
ก็ต้องระวังไม่ให้หนอน ไม่ให้แมลงมากินได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ อยู่กับยาฆ่าแมลงยี่ห้ออานาปานสติ อานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก อานากับอานาปา เข้าแล้วไม่ออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ถ้าใจเราจดจ่ออยู่กับลมหายใจตรงหน้า นิวรณ์กินไม่ได้ ต้นกรรมฐานปลอดภัยชั่วคราว พอจะแตกใบอ่อนได้บ้าง
เราก็รดน้ำพรวนดินบ่อย ๆ รดด้วยพรหมวิหาร ๔ แผ่เมตตาบ่อย ๆ ศีล ๕ ทบทวนเอาไว้ ถ้าจะเอาให้ดีจริง ๆ ก็กรรมบถ ๑๐ ถ้าได้ปุ๋ยขนาดนี้ถึงจะโตเร็ว |
โตเร็วนี่ไม่ใช่ไปเร่งให้มีลูก..เป็นไปไม่ได้ โดยธรรมชาติแล้วต้องรอระยะ รอเวลาที่เหมาะสม เรื่องการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน รอวาระบุญ รอวาระกรรม รอผลการปฏิบัติ หลายอย่างรวมกัน ถ้าพอเหมาะพอดี ก็จะเกิดดอก เกิดผล จึงเป็นอะไรที่เร่งรัดไม่ได้ เราปลูกต้นไม้แล้วไปดึงยอดให้โตเร็วหน่อยไม่ได้ เดี๋ยวรากขาดก็ได้ตายคามือ
|
ตัวอย่างโบราณกาล ท่านโสณโกฬิวิสเถระสมัยพระพุทธเจ้า เดินจงกรมจนเท้าแตก เดินไม่ได้ก็คลานไป คลานไปจนมือ จนเข่าแตกหมด ก็นอนลงเอาคางเกาะพื้น ค่อย ๆ ดึงตัวเองไป เป็นผู้เดียวในประวัติสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าต้องขอร้องให้ลดความเพียรลง ส่วนพวกเราทั้งหมดนี้ ทางวัดท่าขนุนขอร้องให้เร่งความเพียรมากขึ้น ที่ทำอยู่ยังไม่พอกิน..!
|
ค่อย ๆ บำรุงรักษาไปเรื่อย ๆ ถึงวาระที่สมควร จะออกดอกออกผลเอง สมัยที่อาตมาเป็นฆราวาส ปฏิบัติจนทุกคนรอบข้างว่าบ้า พ่อ แม่ พี่ น้อง ว่าบ้าหมด โดยเฉพาะพระครูแสงที่นอนอยู่ห้องเดียวกัน
ไปโรงเรียน เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ก็ว่าบ้าหมด ทุ่มเทเป็นไอ้บ้าอยู่หลายปี..ไม่ได้อะไร สิ่งที่อยากได้ไม่ใช่อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ สิ่งที่อยากได้คืออารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ทำเท่าไรไม่ได้สักที แต่พอบวชเป็นพระ กลับไหลมาเทมา ได้มากจนแปลกใจ ไปกราบเรียนถามหลวงปู่มหาอำพัน “หลวงปู่ครับ ก่อนหน้านี้ผมใช้ความพยายามมากกว่านี้หลายเท่า ไม่ได้สักที ตอนนี้ไม่เห็นต้องพยายามมาก ก็ไหลมาเทมา” ท่านบอกว่า “ตอนนี้คุณบวชเข้ามา บุญใหญ่หนุนเสริม สิ่งที่ต้องการก็เลยได้ง่าย” |
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาที่สมควร ต้นทุนเพียงพอ สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ สิ่งที่เราหวังจะมาเอง ตอนนี้ถึงไม่เรียกร้องก็จะมา จะไปบอกว่าอย่าเพิ่งออกดอกตอนนี้ก็ไม่ได้ เมื่อถึงวาระ จะออกดอกออกผลเอง ดังนั้น..จึงต้องมีความอดทน อดกลั้น อดออม
|
ชีวิตฆราวาสคลุกอยู่กับกิเลส ถ้าใครสามารถทำตัวเป็นดอกบัวเหนือโคลนตมได้ จะเป็นสุดยอดมนุษย์เลย ขี้โคลนเละ ๆ แฉะ ๆ เหม็นอีกต่างหาก เกิดดอกบัวบริสุทธิ์ที่เขาเอามาไหว้พระได้ ทำอย่างไรที่เราจะแปลงกองกิเลสทุกอย่างตรงหน้าของเราให้เป็นปุ๋ย ส่งให้เราเจริญรุ่งเรือง ส่งให้เราประสบความสำเร็จเหมือนดอกบัว ก็คือต้องหยิบจับทุกอย่างรอบข้างของเรามาหนุนเสริมการปฏิบัติ
|
เราอยู่ในถิ่นที่ลำบาก ในสถานที่ที่ลำบาก เรายังมีใจต่อสู้ มีใจฟันฝ่า ประพฤติปฏิบัติธรรม อยากได้ดี แต่ก็แค่อยาก เขาไม่ได้ให้อยาก เขาให้ทำ ของทุกอย่างต้องลงมือทำ ทุกอย่างถึงจะประสบความสำเร็จ คิดแค่โครงการจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ความอยากเป็นแค่โครงการ เป็นแค่วิมานในอากาศ อย่าเสียเวลาไปคิด ทำเลย ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที อยู่กับกรรมฐาน ถ้าไม่มีใครว่าเราบ้า ก็ยังไม่มีทางประสบความสำเร็จ...!
บุคคลที่ปฏิบัติธรรมสวนกับทางโลกอยู่แล้ว คนที่เดินย้อนทางคนอื่นแล้วไม่โดนว่าหาว่าบ้านั้นไม่มีหรอก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จงบ้ากันต่อไป..! |
ส่วนใหญ่แล้วพวกเราสติไม่ค่อยดี คือสติตามเรื่องปัจจุบันไม่ทัน ถึงเวลาจะหลงโน่น ลืมนี่ คนสติดีจะไม่ลืมว่าพูดเรื่องอะไร
|
หลายคนปฏิบัติธรรมไปถึงจุดดีแล้วไม่รู้ว่าดี ก็คือปฏิบัติไปแล้วนอนไม่หลับ ยิ่งตั้งใจให้หลับยิ่งไม่หลับใหญ่เลย แล้วก็หงุดหงิด...กลุ้ม การปฏิบัติถ้ามาถูกทางจะไม่หลับ ถ้าหลับ ถึงมาถูกทางก็แปลว่ายังเอาดีไม่ได้ สภาพจิตของเราถ้าหากว่าเข้าถึงระดับ จะเกิดอาการที่บาลีใช้คำว่า 'พุทโธ' คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สภาพจิตจะสว่างโพลง อยู่ด้วยธรรมปีติ
|
ตอนนั้นจะไม่หลับ ก็รออยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือเข้าใจและใช้ได้ถูกต้อง อย่างที่สองคือรอให้ปีติลดแล้วก็หลับ คราวนี้การที่เราจะเข้าใจและใช้ได้อย่างถูกต้องคือ เราต้องเข้าใจว่าสภาพจิตจริงแท้นั้น ถ้าเข้าถึงระดับจริง ๆ จะไม่หลับ
จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง มีความรู้รอบเสมอกันหมด โดยเฉพาะรู้ระมัดระวังไม่ให้กิเลสเข้ามา ไม่อย่างนั้นแล้วหลายท่านตอนตื่นอยู่ระมัดระวังมาก แม้แต่มดตัวหนึ่งก็ไม่กล้าเหยียบ รักษาศีลสุดชีวิต เผลอหลับหน่อยเดียว ฝันว่าฆ่าเขาตายเป็นกองทัพเลย..! บางคนกลางวันสำรวมมาก ไม่กล้ามองเพศตรงข้ามแม้แต่นิดเดียว แต่กลางคืนไล่ปล้ำชาวบ้านเขา นั่นคือสภาพจิตของเราที่กิเลสกินทั้งหลับทั้งตื่น ถ้าสติของเรารู้ไม่เท่าทัน เราจะเสียท่าเขา ก็แปลว่าเราจะป้องกันตัวได้เฉพาะตอนตื่น ตอนหลับเราเสร็จเขา เพราะฉะนั้น..การภาวนาจึงต้องทำให้ถึงระดับที่หลับและตื่นเรารู้เท่ากัน |
แต่พวกเราพอเริ่มทำไปถึงตรงนั้นแล้ว ก็ไปเครียดว่าทำไมไม่ได้นอน ไม่ได้พัก เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงทำงาน ก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปใหญ่ ยิ่งพยายามหลับก็ยิ่งไม่หลับ ให้เราเข้าใจว่าสภาพจิตตื่นอยู่ แต่ร่างกายเราหลับ ถึงไม่หลับแต่ร่างกายนอนอยู่ เราได้พักผ่อนแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดสภาพ ทำงานไม่ไหว ถ้าจิตละเอียดจริง ๆ จะได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย ตอนนั้นถึงจะเข้าใจว่านี่เราหลับจริง ๆ หลายคนเคยได้ยินเสียงตัวเองกรน แต่ไม่รู้ว่านั่นคือสภาพจิตที่ตื่นอยู่แต่ว่าร่างกายหลับ
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:41 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.