![]() |
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันศุกร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ขอให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัว ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้เฉพาะหน้า ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ตามที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
ระยะนี้ต้องบอกว่าเป็นระยะที่อาตมากำลังชดใช้กรรมเก่า เพราะว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ต่อเนื่องกันมา ๒ - ๓ ครั้ง ไม่มีเว้นเลย พระบางรูปท่านก็สงสัยว่า หลวงพ่อทนได้อย่างไรครับ ? เนื่องจากท่านเองก็เคยแขนหลุด ไหล่หลุด เจ็บปวดจนร้องโอดโอย จนกระทั่งหมอดันเข้าที่ให้ถึงจะบรรเทาลง แต่หลวงพ่อดันให้เข้าที่เอง อาตมาก็บอกว่า "ไม่มีอะไรมากไปกว่าทนเอา" แล้วท่านก็บอกว่า ท่านเองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย พยายามต่อรองกับร่างกายเท่าไร ก็ไม่สามารถจะลุกไหว แต่เห็นอาตมาบิณฑบาตทุกวัน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเดินก็ต้องเจ็บ แต่ก็ไป ท่านถามว่าทำกำลังใจอย่างไร อาตมาก็บอกว่า "ก็แค่คิดว่าข้าจะไป" ซึ่งความจริงสิ่งที่พูดไปนั้นก็พูดให้ฟังดูง่าย ถ้าใครก็ตามฝึกในอานาปานสติกรรมฐานไปถึงระดับหนึ่ง จิตกับประสาทร่างกายจะกลายเป็นคนละส่วนกัน ถึงร่างกายจะเจ็บ แต่สภาพจิตก็ไม่ได้ไปสนใจไยดีตรงจุดนั้น จึงทำให้สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่าง ที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องที่ยาก หรือเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ได้ แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องปกติของทุกคนที่มาฝึกปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าอานาปานสติทรงตัวจริง ๆ มีกำลังใจเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ เราก็สามารถที่จะระงับกายสังขาร คืออาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ เมื่อถึงวาระที่จำเป็นจะต้องใช้ร่างกาย ก็ใช้กำลังใจข่มอาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ลงชั่วคราว แล้วก็ใช้ให้ร่างกายทำหน้าที่ต่าง ๆ ไปตามที่ตนเองต้องการ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ ถ้าทำถึงก็สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ทุกคน ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ในส่วนที่ดีมาก ๆ ของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยก็คือ ทำให้เราไม่ลืมสติ ได้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการของตนได้ ไม่ต้องการให้เจ็บก็เจ็บ ไม่ต้องการให้ป่วยก็ป่วย ถ้าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราจริง ๆ ก็ต้องบังคับบัญชาได้ ไม่ให้เจ็บก็ต้องไม่เจ็บ ไม่ให้ป่วยก็ต้องไม่ป่วย ไม่ให้แก่ก็ต้องไม่แก่ แต่นี่เราบังคับบัญชาอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว |
ดังนั้น...การเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นการชดใช้กรรมเก่าก็ตาม แต่ก็เป็นอาการเจ็บป่วยที่มีพระคุณอย่างมหาศาล คือทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่ดีจริง ๆ ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้จริง ๆ ไม่ว่าจะตัวเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี ล้วนแล้วแต่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ อย่างที่ว่า พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ไม่อาจจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปได้
ถ้าเราทุกคนมองเห็นอย่างนี้ชัดเจน ก็จะเกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกายนี้ ไม่มีความปรารถนาในร่างกายอีก เพราะว่าเกิดมากี่ชาติก็เจ็บอย่างนี้ ก็ป่วยอย่างนี้ ในเมื่อสังขารร่างกายของตนเองยังไม่ต้องการ การจะไปยึดถือในสังขารร่างกายคนอื่นนั้น ก็ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น..ท่านใดก็ตามที่เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นกับตนเอง ก็ขอให้รีบฉวยโอกาสให้สมกับที่เป็นนักปฏิบัติ ก็คือพิจารณาให้รู้ให้เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกาย ว่าธรรมดาของร่างกายนั้นเป็นรังของโรค มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนไปไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ เกิดก็เป็นทุกข์ แก่ก็เป็นทุกข์ เจ็บก็เป็นทุกข์ ตายก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ กระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ เหล่านี้เป็นต้น ท้ายที่สุดสภาพร่างกายนี้ ก็เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่า นี่เป็นตัวเรา นี่เป็นตัวเขา เพราะว่าท้ายที่สุดก็ต้องพังทลายกลับคืนไปเป็นสมบัติของโลกตามเดิม |
ถ้าท่านทั้งหลายสามารถภาวนาจนกำลังใจทรงตัว สามารถระงับกายสังขารได้ ต่อไปก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายนี้เป็นโทษเป็นภัย เป็นของน่ากลัว มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติธรรมดา ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงพ้น จนสภาพจิตเกิดความเบื่อหน่าย ไม่มีความปรารถนาในร่างกายของตน ไม่มีความปรารถนาในร่างกายของคนอื่นอีก ก็ให้ตั้งใจว่า..เมื่อตายลงไปเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว
แล้วเอากำลังใจของตน จดจ่ออยู่กับพระนิพพาน จะกำหนดเป็นสถานที่ก็ได้ เป็นวิมานของเราก็ได้ เป็นภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานก็ได้ แล้วพิจารณาดูลมหายใจเข้าออกของตัวเองพร้อมกับคำภาวนา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ให้กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป หรือว่าคำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดดูกำหนดรู้ไว้เฉย ๆ อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น แล้วอย่าไปดิ้นรนให้พ้นจากสภาพอย่างนั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกำลังใจทรงตัวตามที่ต้องการไปเอง ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันศุกร์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี) |
สามารถรับชมได้ที่
http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2556-07-05 ป.ล. - สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้ - ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด ! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:59 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.