![]() |
การอนุโมทนาและการรักษาศีล ๘
กราบเรียนถามหลวงพ่อครับ
๑. อารมณ์การอนุโมทนาบุญสูงสุดหยุดอยู่แค่ปีติหรือเปล่าครับ ๒. อนุโมทนาบุญอย่างไรถึงไปอยู่ที่นิพพานกับท่านได้ ใจต้องจดจ่ออยู่กับบุคคล หรือบุญที่ท่านทำ ๓. การจะถือศีล ๘ ให้ได้เป็นปกติ ควรจะมีวิธีการคิดอย่างไร ในเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องปลาย การเล่นเกม การเคลิ้มไปกับเพลง การชอบใจคำพูดหยอกล้อหรือเนื้อตัวขาว ๆ ของผู้หญิงที่ผ่านสายตา และอารมณ์ไม่พอใจ โมโห โกรธ ในเวลาทำงาน ถือว่าศีล ๘ ขาดหรือไม่ หากไม่เหลือดีเลย ผมขออุบายที่จะไม่จดจ่อโทษตัวเอง จนหมดกำลังใจในการรักษาศีลครับ ๔. ผู้ที่ถือศีล ๘ ต้องทำสมาธิทั้งวันหรือเปล่าครับ ทำงานทำตัวปกติได้ หรือต้องแปลกแยกให้รู้ว่าเราถือศีล ๕. การตัดความถือตัวถือตนสำหรับกัลยาณชนอย่างไรถึงเรียกว่าดี และผู้ที่เป็นพระโสดาบันท่านถือตัวถือตนต่างกับกัลยาณชนอย่างไร กราบขอบพระคุณครับ |
ถาม : อารมณ์การอนุโมทนาบุญสูงสุดหยุดอยู่แค่ปีติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าใครหยุดอยู่แค่ปีติแปลว่าโง่มาก การโมทนาบุญจะกำลังใจสูงต่ำแค่ไหนก็ได้บุญทั้งนั้น อย่าลืมว่าพระที่ท่านเข้าพระนิพพานแล้ว ท่านยังโมทนาบุญเลย แม้ว่าผลบุญนั้นไม่ได้อะไรกับท่านแล้ว ท่านโมทนาไปก็สูญเปล่า เนื่องจากท่านอยู่เหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว แต่ท่านก็ยังพลอยยินดีในความดีที่เราทำ เพราะฉะนั้น..กำลังใจจะอยู่ในระดับชั้นไหนก็ตาม ยิ่งความดีสูงมากเท่าไร ยิ่งพลอยยินดีในความดีของผู้อื่นได้มากเท่านั้น ก็แปลว่า ยิ่งพลอยโมทนาได้มากเท่านั้น ถาม : อนุโมทนาบุญอย่างไรถึงไปอยู่ที่พระนิพพานกับท่านได้ ? ตอบ : คิดแบบนี้ไม่มีทางได้เลย เพราะคิดจะรวยทางลัด การโมทนาบุญนั้นก็คือ การที่เรายินดีในผลบุญที่ผู้อื่นทำ ขณะที่เราไม่ได้ทำ เป็นความดีที่ออกมาจากน้ำใสใจจริง แต่ในปัจจุบันนี้ร้อยละ ๙๙ การโมทนานั้นแฝงความหมายว่า "กูจะเอาของมึง" เมื่อเป็นดังนั้น จากอานิสงส์แทนที่จะได้เป็นล้าน ก็ได้ไปสลึงเดียว..! เพราะฉะนั้น..ถ้ารู้วิธีแล้วโมทนาให้ถูกทาง ก็มีสิทธิ์ไปพระนิพพานได้ ถ้าเจ้าของบุญท่านไปพระนิพพานแล้ว ถาม : อย่างไรจะถูกทางครับ ? ตอบ : ตามที่บอกมานั่นแหละ อย่าไปเอาของมึงอีกก็แล้วกัน..! ถาม : เห็นเขาทำยินดีด้วย ทำตามด้วย ? ตอบ : อย่างนั้นได้บุญของเขาด้วย บุญของตัวเองก็ได้ด้วย เพราะตัวเองทำตาม |
ถาม : การจะถือศีล ๘ ให้ได้เป็นปกติ ควรจะมีวิธีการคิดอย่างไร ในเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องปลาย ?
ตอบ : ไม่ต้องคิดหรอก..ทำเลย แต่ขณะที่ทำควรจะภาวนาให้กำลังใจทรงตัวด้วย เพราะกำลังของศีลแปดเป็นกำลังที่สูงมาก คำว่าสูงมากก็คือ เป็นกำลังของพระอนาคามี บุคคลที่จะเป็นพระอนาคามี ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ก็ไม่สามารถที่จะตัดโลภและโกรธได้ โลภตัวนี้หมายถึงรักด้วย เมื่อเป็นดังนั้น ถ้าตั้งใจจะรักษาศีลแปดให้ทรงตัว ควรจะทำสมาธิให้ทรงตัวด้วย ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว จะรักษาศีลแปดได้ยากมาก ถาม : การเล่นเกม การเคลิ้มไปกับเพลง การชอบใจคำพูดหยอกล้อ หรือเนื้อตัวขาว ๆ ของผู้หญิงที่ผ่านสายตา และอารมณ์ไม่พอใจ โมโห โกรธ ในเวลาทำงาน ถือว่าศีล ๘ ขาดหรือไม่ ? ตอบ : ศีลไม่ขาด แต่ถ้าว่าตามหลักบาลีก็คือ ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลทะลุ แปลว่าไม่บริสุทธิ์จริง ไม่ถึงกับขาดหรอก แต่ก็แหว่งไปเยอะแล้ว ถาม : อย่างที่ท่านว่าควรจะมีสมาธิกำกับด้วยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากสมาธิกำกับอยู่ ก็จะไม่ไหลไปตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่ว่ามา ถาม : หากไม่เหลือดีเลย ผมขออุบายที่จะไม่จดจ่อโทษตัวเอง จนหมดกำลังใจในการรักษาศีลครับ ตอบ : ไปเกิดใหม่..! ถาม : ฟังแล้วยิ่งมีกำลังใจมากเลยครับ..! ตอบ : บอกเขาไปว่ายังเหลือดีอยู่นิดหนึ่ง จะได้มีกำลังใจ ถาม : ยังมีดีอยู่นิดหนึ่ง ? ตอบ : ศีลยังไม่ขาด ยังแหว่ง ๆ อยู่ ยังพอมีดีเหลืออยู่บ้าง ถาม : เริ่มใหม่ได้ ? ตอบ : ศีลทุกระดับ รู้ตัวว่าพลาดก็เริ่มต้นใหม่ ถ้ามัวแต่ไปเศร้าหมองอยู่ตรงนั้น จะลงอบายภูมิได้ง่ายมาก รักจะทำความดีต้องหน้าด้านหน้าทน ทันทีที่รู้ตัวว่าศีลของเราบกพร่องแล้ว ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปศีลเราจะบริสุทธิ์ และตั้งหน้าตั้งตารักษาสิกขาบทต่อไป มัวแต่ไปคร่ำครวญอยู่ เสียเวลาเปล่า ๆ จิตใจที่เศร้าหมองแบบนั้น ถ้าตายตอนนั้นก็ลงอบายภูมิอีก |
ถาม : ผู้ที่ถือศีล ๘ ต้องทำสมาธิทั้งวันหรือเปล่าครับ ? ทำงานทำตัวปกติได้ หรือต้องแปลกแยกให้รู้ว่าเราถือศีล ?
ตอบ : ควรจะแปลกแยกสักหน่อย คนจะได้นินทา..! อาตมาถือศีลแปดเป็นปี คนยังไม่รู้เลยว่าถือศีลแปด ทำไมต้องให้เขารู้ด้วย ? ยกเว้นว่าตั้งใจว่าอวดเขาว่ากูดีกว่า ก็กลายเป็นสีลัพพตุปาทานไปอีก ถาม : อาจจะเห็นว่า กูถือศีลแปด คนจะได้ไม่มากวนใจ จำเป็นหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ไม่จำเป็น..บอกเมียคนเดียวพอ ..(ฮา).. ถาม : การตัดความถือตัวถือตนสำหรับกัลยาณชนอย่างไรถึงเรียกว่าดี ? และผู้ที่เป็นพระโสดาบันท่านถือตัวถือตนต่างกับกัลยาณชนอย่างไร ? ตอบ : ก็แค่ลดมานะตัวเองลงมาสักหน่อยหนึ่ง อย่าไปคิดว่ากูดีกว่าเขา ก็จัดว่าอยู่ในระดับของกัลยาณชนได้ ส่วนพระโสดาบันนั้นท่านรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ในเมื่อรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย การถือตัวถือตนท่านก็จะลดไปโดยอัตโนมัติ เพราะไม่รู้จะแบกไปทำอะไร อย่างไรก็ตายแน่อยู่แล้ว |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:27 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.