![]() |
ฝึกมโนมยิทธิแล้วเห็นไม่ชัด
ถาม : หนูฝึกมโนมยิทธิ แล้วเห็นไม่ชัดเลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัด จำไว้ว่ามโนมยิทธิจริง ๆ แล้ว มีแบบเดียวก็คือ ชัดเจนแจ่มใสเหมือนอาทิตย์ยามเที่ยง เพราะว่าเราขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วย ถ้าหากว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านจะเห็นชัดเจนแจ่มใสแบบพระจันทร์วันเพ็ญ คือจะมีเงามัวอยู่บ้าง แต่ว่าก็สว่างสดใส ถ้าเป็นพระอัครสาวก จะเห็นชัดเจนเหมือนกับแสงคบไฟดวงใหญ่ ถ้าหากว่าเป็นพระอรหันตสาวกทั่ว ๆ ไป จะเห็นชัดเจนเหมือนกับแสงเทียนดวงน้อย ถ้าเป็นผู้ที่ทรงฌานโลกีย์อย่างพวกที่ได้อภิญญา ได้สมาธิ จะเห็นเหมือนกับแสงยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ คราวนี้เราขอบารมีพระสงเคราะห์ก็จะชัดอย่างนั้น แต่เนื่องจากว่ากำลังใจของเราก่อนที่เราจะใช้มโนมยิทธิ ครูฝึกจะสอนให้เราตัดร่างกายเสียก่อน ตัดความเกาะในโลก ตัดความอยากในร่างกายเพื่อให้จิตใจผ่องใส ทีนี้ถ้าเรายังตัดไม่ได้จริง ๆ ก็จะไม่ค่อยผ่องใส ไม่ค่อยชัดเจน ถ้าความรู้สึกบอกว่าตรงหน้าเราคือพระพุทธเจ้า ถึงไม่เห็นเลยก็ขอให้น้อมจิตกราบลงไปตรงนั้น |
อาตมาเองบางวันป่วยหนัก ๆ ร่างกายแย่ เรื่องของฌานสมาบัติถ้าร่างกายเจ็บป่วย หิว กระหายมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ จะไม่เอากับเราเลย บางวันป่วยหนัก ๆ ตั้งใจกำหนดเต็มที่เห็นยอดเกศเแหลม ๆ นิดเดียวเอง นิดเดียวก็นิดเดียว ให้ถือว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้น เราก็น้อมใจกราบลงไป
คราวนี้สำหรับพวกเรา ความรู้สึกแรก ๆ เหมือนกับหลับตาคลำของ เขาส่งของมาให้ชิ้นหนึ่ง เขาถามว่าเป็นอย่างไร ? เราก็บอกตามสภาพว่า ลักษณะอย่างนี้น่าจะเป็นปากกา หรือไม่ก็อาจจะเป็นเศษไม้อันหนึ่ี่ง ตอบไปตามความมั่นใจของเรา ถ้าครูฝึกเขายืนยันว่าถูก ความมั่นใจของเราเพิ่มขึ้น ๆ จิตก็จะเริ่มนิ่ง แหม..แรก ๆ ใจเต้นตึ้กตั้ก ๆ จะถูกหรือเปล่า ? พอตอบไปตอบมา เออ..เราก็เก่งนี่หว่า แม่นเหมือนกัน ใจก็ชักจะนิ่ง พอนิ่งตอนนี้ภาพจะเกิด เพราะจิตนิ่งแล้วก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง พอน้ำไม่กระเพื่อมเราชะโงกดูเห็นหน้าตัวเองชัดไหม ? พอภาพเกิดขึ้นเราก็ไปตั้งใจมองให้ชัด ภาพก็หายไป เพราะว่าจิตเราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราจึงจะเห็นภาพได้ ตอนนี้เรานึกถึงบ้าน คนที่ได้อภิญญาสมาบัติ คนที่ได้มโนมยิทธิจะเห็นเราอยู่ที่บ้านแล้ว เราต้องไปที่บ้านเราถึงเห็นบ้านนั้น แต่ที่เราเห็นบ้านนั้นเพราะความเคยชินของเรา จึงนึกออก บอกได้ไหมว่าเราเห็นด้วยตา ? ไม่ใช่หรอก..แต่ทำไมถึงชัด ? นั่นแหละ..คือการเห็นแบบมโนมยิทธิ |
เมื่อเราไปถึงตรงนั้นเราถึงจะเห็น พอเราเห็นภาพ เราก็ไปเพ่งเพื่อจะเอาให้ชัด พอเราเพ่งเราต้องใช้อะไร ? สายตา..ใช่ไหม ? การที่เรานึกถึงตาก็คือเรานึกถึงตัวเอง เท่ากับเราดึงจิตกลับมา เราดึงออกมาจากตรงนั้นแล้วเราจะเห็นอะไรได้ ? ภาพก็หายวับไป ในเมื่อหายวับไป เราก็เอาใหม่ ตั้งท่าทำใหม่ พอไปถึงเห็นอีก ก็เพ่งอีก ก็หายอีก บางคนติดอยู่ตรงนี้เป็น ๑๐ ปีก็มี
ขอให้เราทำความเข้าใจว่า ก่อนหน้านี้แค่เราคลำ ๆ โดยไม่ต้องเห็น แค่ความรู้สึกอย่างเดียวก็แม่นแล้ว รถมาสีอะไรบอกได้หมด คนนั่งมากี่คนบอกได้หมด เห็นไม่เห็นก็ช่างเถอะ เราพอใจของเราแค่นี้ ถ้าทำใจสบาย ๆ อย่างนี้ได้ภาพจะอยู่ได้นานเท่าที่เราต้องการ สำคัญอยู่ตรงจุดนี้เอง เพราะฉะนั้น..แรก ๆ ก็เหมือนกับเราหลับตาคลำของ ตอนแรกก็บอกว่ากิ่งไม้ ปรากฏว่าผิด คลำไปคลำมามีปลอกอยู่หน่อยหนึ่ง มีที่กดอยู่นิด จริง ๆ คือ ปากกา พอครูฝึกเขายืนยันว่าใช่ ต่อไปคลำใหม่ก็ตอบว่าปากกา คลำอีกครั้งก็ตอบว่าปากกา ต่อไปก็จะยิ่งแม่น ยิ่งคล่องตัวขึ้นเรื่อย ๆ ในเมื่อเราไม่เห็นแต่ตอบได้ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นก็ได้ ถ้าเราวางกำลังใจอย่างนี้ ภาพก็จะเริ่มปรากฏชัดและตั้งอยู่ได้นาน สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:01 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.