![]() |
ใต้ฟ้าอิระวดี ตอนที่ ๑๑
1 Attachment(s)
โซยุนท์มารับตั้งแต่ตีสี่ เอาธงฉัพพรรณรังสีผูกหน้ารถมาด้วย บอกว่าเป็นเครื่องหมายของการไปแสวงบุญ ช่วยให้ผ่านด่านตรวจต่าง ๆ ง่ายขึ้น ท่านอาจารย์ใหญ่เอารองเท้าแบบพม่ามาให้อาตมาเปลี่ยน ขนาดเปลี่ยนจีวรแล้วเชียว แต่จุดเล็ก ๆ แค่รองเท้าที่ไม่เหมือนเขายังสะดุดตาท่านจนได้ กราบขอบพระคุณครับ
รถมาจอดรอแพขนานยนต์เพื่อข้ามอ่าวเมาะตะมะ มาเช้าขนาดนี้ยังต้องเข้าคิวยาวเหยียด รอจนน้ำขึ้นเต็มที่ก่อน แพจึงจะเข้าเทียบท่าได้ ตอนนี้ยังลอยอยู่กลางอ่าว ขนาดใหญ่โตไม่แพ้เรือเฟอรี่ที่เกาะสมุย สองข้างท่าแพเป็นร้านค้าดูคึกคักดีทีเดียว มีอาหารทะเลพวกกุ้งหอยปูปลาตากแห้งเต็มไปหมด http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1266855018 แพขนานยนต์ลอยลำอยู่กลางอ่าวเมาะตะมะ ๐๖.๓๐ น. รถลงแพขนานยนต์ คณะของเราโชคดีที่ได้ไปในเที่ยวแรก มีรถติดธงฉัพพรรณรังสีแบบของเราหลายคัน ทุกคันแออัดยัดทะนานชนิดแทบต้องขี่คอกันไป ไม่มีคันไหนสบายแบบคันของเราเลย เพราะมีแค่พระ ๕ ฆราวาส ๔ ดูโหรงเหรงไปถนัดตาเมื่อเทียบกับคันอื่น ๆ เขา ดูไปแล้วเป็นการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองเป็นบ้าเลย..! ฝูงนกนางนวลแกลบบินเวียนว่อนตามแพมาเพื่อขออาหาร มีเด็กขึ้นมาขายขนมให้เลี้ยงนก เป็นก้อนคล้าย ๆ ข้าวซอยแห้ง หรือขนมรังนกของบ้านเรา พอบีบแตกเป็นชิ้น ๆ โปรยออกไปเท่านั้น บรรดาพวกพ้องของโจนาธานบินมาโฉบคว้ากันมืดไปหมด ที่ถูกลมตีตกน้ำก็ไม่มีปัญหา พวกมันลงไปลอยคอเก็บกินซะเกลี้ยง..! |
1 Attachment(s)
อาทิตย์อุทัยเริ่มทอแสง ลมทะเลเย็นสะท้านกาย แพขนานยนต์วิ่งผ่านเกาะอองซีจุน ที่เป็นวัดไปทั้งเกาะ ท่านนาวินเล่าว่า ทางการขอสร้างถนนลอยฟ้าข้ามอ่าวเมาะตะมะ โดยขอปักเสาบนเกาะแค่จุดเดียว ทางวัดไม่ยอมให้เพราะถนนสูงกว่าเจดีย์ ถ้าเป็นผมแล้ว สิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ผมยินดีสละให้ทันที
อาตมาว่า
ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที แพขนานยนต์มาเทียบท่าฝั่งเมาะตะมะ พวกเราหยุดที่ร้านน้ำชาแบกะดินแบบยองยองเหลา เพื่อหาอาหารเช้าฉันกันก่อน ปกติเขาขายแต่น้ำชากาแฟ มีปาท่องโก๋ตัวยาวเป็นศอกไว้กินกับกาแฟด้วย แต่พอเราถามหาข้าว เขาก็จะจัดการผัดข้าวผัดพม่าใส่ถั่ว แถมไข่ดาวโปะหน้ามาให้ในเวลาอันรวดเร็ว http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1267831352 ฉันเช้าที่ยองยองเหลา ฝั่งเมืองเมาะตะมะ กาแฟของเขากากเยอะอย่างกับใบชา แถมนมลงไปครึ่งค่อนถ้วยตามแบบฉบับของเขา ฉันเสร็จแล้วต้องวิ่งหาส้วมทันที ท่านนาวินที่เข้าเป็นคนแรกเดินบ่นว่า อ้วกจะแตก..! ท่านพรตามมาช่วยเสริมว่า กลั้นใจสามเทื่อกะยังบ่สุด..! อาตมาเฉย ๆ เพราะเคยเจอประเภทหนอนต่อตัวกันเป็นภูเขามาเยอะแล้ว..! ถนนถึงจะลาดยางก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ตามรายทางมีด่านเก็บเงินสลับกับด่านบุญ มีมากจนชักสับสนว่าใครมันมากกว่ากัน มีรถของสาธารณสุขออกมาประกาศ ให้ชาวบ้านพาเด็กไปหยอดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ จากเมืองเป่าเมี้ยวถึงเมืองตะโทง มีค่ายกักกันนักโทษ ที่เขาเอามาขนหินสำหรับสร้างทาง ใส่ชุดขาวมอ ๆ ดูน่าสงสาร ส่วนมากเป็นนักโทษการเมือง... |
3 Attachment(s)
ดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านรายทาง มีผู้หญิงทูนกระจาดใบโตใส่ของสารพัด แม่ชีในชุดสีชมพูหวานพาดสังฆาฏิสีน้ำตาล ทูนบาตรออกบิณฑบาตข้าวสาร บางแห่งชาวบ้านสานกระพ้อมสำหรับใส่ข้าวเปลือก ใบหนึ่งโตล้นเกวียนเลย คงบรรจุข้าวเปลือกได้เกวียนหนึ่งพอดี เขาใช้ขี้วัวขี้ควายยารอยรั่วจนเต็มเนียนเป็นเนื้อเดียวกันทั้งใบ
โชเฟอร์ของเราจอดรถลงไปซื้อหมาก เขามีร้านขายหมากพลูแบบที่บ้านเราขายบุหรี่ ชาวบ้านทั้งชายหญิงกินหมากกันเป็นปกติ ทหาร ตำรวจ มีแทรกชาวบ้านอยู่ทั่วไป ด่านเก็บเงินมากเหลือเกิน เดี๋ยวค่าถนน เดี๋ยวค่าสะพาน เดี๋ยวค่าผ่านเมือง ไอ้ถนนกับสะพานก็โทรมสุดขีด ไม่รู้ว่าเงินมันไปทางไหนกันหมด..? http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1269581630 ธนบัตรใบละ ๓๕ จั๊ต http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1269581630 ธนบัตรใบละ ๔๕ จั๊ต http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1269581630 ธนบัตรใบละ ๗๕ จั๊ต ด่านบอกบุญเรี่ยไรยิ่งมากเข้าไปใหญ่ เขาทำกันเป็นล่ำเป็นสันเลยทีเดียว ควักย่ามให้วินจีไป ๑,๐๐๐ จั๊ต เพื่อแลกเป็นแบงค์ย่อยมารับมือกับด่านโดยเฉพาะ เงินพม่าก็ประหลาดสิ้นดี มีราคาตั้งแต่ ๑ จั๊ต ๕ - ๑๐ - ๑๕ - ๒๐ - ๒๕ - ๓๐ - ๓๕ - ๔๐ - ๔๕ - ๕๐ - ๕๕ - ๖๐ - ๖๕ - ๗๐ - ๗๕ - ๘๐ - ๘๕ - ๙๐ - ๙๕ - ๑๐๐ - ๒๐๐ - ๕๐๐ จั๊ต ทอนกันมาแต่ละทีต้องนับจนตาเหล่ และที่แน่ ๆ ไม่เจอเหรียญเลยสักอันเดียว..! |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1271400685 คนงานกำลังตัดอ้อย โปรดสังเกตต้นอ้อยข้างหลังที่แกร็นนิดเดียวแถมออกดอกด้วย) ผ่านเมืองบีลีนสู่เมืองไจ๊โท มีโรงงานน้ำตาลขนาดใหญ่ด้วย แถวนี้เลยมีการปลูกอ้อยกันมาก แต่ต้นมันแคระแกร็นบอกไม่ถูก มีหมู่บ้านหนึ่งปลูกแต่ต้นตาลภูเขาไว้เป็นพัน ๆ ไร่ สำหรับตัดใบมาทำตับจากมุงหลังคา เขาตัดกันจนเหลือต้นละ ๓ - ๔ ใบ ถ้ามีใบที่ ๕ โผล่ขึ้นมาเมื่อไร ใบล่างสุดจะถูกตัดทันที..! ที่น่าตกใจคือ เขาเอาแป๊บน้ำขนาดหกนิ้วมาทำเสาไฟฟ้าแรงสูง นอกจากลูกถ้วยที่เป็นเซรามิกแล้ว นอกนั้นเป็นโลหะทั้งหมด พลาดเมื่อไร ไม่ตายก็คางเหลือง..! แต่ดูเขาอยู่กันแบบมีความสุขดี ไม่เห็นมีใครเดือดร้อนรำคาญใจสักคน เป็นเพราะอาตมาคิดมากไปคนเดียวกระมัง ? ของเขาขอแค่มีไฟฟ้าใช้ก็บุญแล้ว หยุดฉันเพลกันที่ร้านผิ่นอู (แรกแย้ม) นอกเมืองไจ๊โท ท่านพรเห็นอาตมาฉันอะไรอร่อยไปหมด ทั้งที่ของบางอย่างหน้าตาไม่น่าไว้วางใจ เลยเกิดการแซวขึ้นมาว่า อาตมาคงเกิดเป็นพม่าบ่อย จึงคุ้นเคยกับอาหารแปลก ๆ อิหยังบ่เคยสันหื้อสันหลาย ๆ มันกะสิแซ่บไปเองนั่นแล่ว อาตมาบอก เป็นพระเป็นเจ้าฉันยากก็อดไปเถอะ..! เก้าคนจ่ายไปแค่ ๑,๒๕๐ จั๊ต เฉลี่ยคนละไม่ถึง ๒๕ บาท คิดแล้วราคาถูกมากสำหรับเรา แต่ถ้าเจอเงินเดือน ๑,๓๐๐ จั๊ต แบบที่นี่ จ่ายมื้อเดียวอดไปอีก ๒๙ วัน..! คิดแล้วมันน่าเศร้าใจ ใครที่คิดว่าจะลดค่าครองชีพด้วยการมาเที่ยวพม่า จงคิดซะใหม่ มันจะเสียผู้เสียคนเพราะมาอยู่ดีกินดีกว่าเขานั่นแหละ |
1 Attachment(s)
นอกเมืองไปเริ่มดูแห้งแล้ง มีไร่ยูคาลิปตัสสลับกับมะม่วงหิมพานต์และยางพารา มีโรงโม่หินขนาดใหญ่ที่เอานักโทษมาทำงานตามเคย จนมาถึงสะพานเหล็กหน้าตาคล้ายสะพานกรุงธน ทอดข้ามแม่น้ำซิตต็อง แม่น้ำนี้แหละที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชยิงสุรกรรมาแม่ทัพพม่าตายด้วยกระสุนนัดเดียว ที่คนไทยเรียกว่าแม่น้ำสะโตงนั่นอย่างไร
ความกว้างใกล้เคียงแม่น้ำเจ้าพระยา สะพานขนาดใหญ่มีทางรถไฟอยู่ตรงกลาง สองข้างทางเป็นทางรถยนต์ ต้องจ่ายค่านักเลงตามเคย เด็ก ๆ วิ่งมาตื๊อให้ซื้อน้ำ บอกว่าจนป่านนี้ยังขายไม่ได้เลย มันพูดอย่างนี้ตั้งแต่เช้ายันเย็นแหละครับ ท่านนาวินว่า อาตมาเลยไม่คิดจะซื้อ ขืนประเดิมอย่างมันว่า คงประเดิมความโง่ของตนแน่ ๆ..! ข้ามสะพานไปก็พ้นเขตรัฐมอญ เข้าเขตมณฑลปะโก (พะโค) ซึ่งก็คือหงสาวดีนั่นเอง แต่ทางพม่าไม่ยอมให้ใช้หงสาวดี เพราะกลัวว่าพวกมอญจะยึดคืน ขนาดแบ่งออกมาจากรัฐมอญให้อยู่ในเขตมณฑลพะโค เพื่อป้องกันการเรียกร้องเมืองหลวงเก่าของพวกเขาคืน คนมอญคนไหนเป็นใหญ่ขึ้นมา มักจะถูกบอนไซทันที เขาทำกันขนาดนั้น..! จากซิตต็องถึงเมืองวอ สะพานถูกน้ำพัดขาดไปสามแห่ง เกิดจากอุทกภัยเมื่อปีที่แล้ว มีคนตายไปร่วมสองหมื่นคน แต่ทางการเขาปิดข่าวได้ดีมาก แทบไม่มีเล็ดลอดออกไปสู่โลกภายนอกเลย ถ้าไม่ได้อยู่ติดชายแดน อาตมาคงไม่ทราบเช่นกัน รถต้องลงทางเบี่ยงหลบลงกลางนา มีแม่ค้าเอามันแกวมาขายกองเป็นภูเขาเลากา น่ากินดีเหมือนกัน |
1 Attachment(s)
ถึงเมืองพะยาจีเลี้ยวซ้ายไปพะโค โซยุนท์ขอเข้าปั๊มเพื่อเติมน้ำมันก่อน ปั๊มทั่วประเทศเขามียี่ห้อเดียวคือ เอ็มพีพีอี (เมียนมาร์ปิโตรเลียม โปรดัคเอนเตอร์ไพรส์) มีพีทีทีของเราแทรกเข้าไปได้บ้าง น้ำมันซูเปอร์ของเขาแกลลอนละ ๑๘๐ จั๊ต ถูกกว่าเมืองไทยเท่ากว่า แต่น้ำมันของเขาสีใสเหมือนกับน้ำเปล่าเลย..!
ไมล์แล้วไมล์เล่าที่ปู่เขียวพาพวกเรารุดหน้าไป ผ่านทุ่งนาแห้งแล้งกรอบเกรียม เหยี่ยวแดงขนาดใหญ่สองตัวบินวนอยู่บนฟ้า อากาศร้อนอบอ้าวชวนง่วงนอน ท่านนาวินคอพับไปแล้ว เหลืออาตมาถ่างตาเป็นเพื่อนอาจารย์จิต เอ๊ย...โซยุนท์ที่เคี้ยวหมากหยับ ๆ แก้ง่วง ไปไหนเป็นต้องรับหน้าที่เป็นเพื่อนคนขับทุกทีซีน่า http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1271514245 พระมหาธาตุชุยมอดอ กลางเมืองหงสาวดี พระมหาธาตุชุยมอดอ ตระหง่านอยู่กลางเมืองพะโค แค่สิงห์โตหินตัวมหึมาหน้าวัดคู่นั้นก็ใหญ่เหลือขนาดแล้ว ในปากสิงห์โตเขาสร้าง พระอุปคุตองค์ใหญ่เอาไว้ด้วย ด้านหน้ามีหอพระไตรปิฎกหลังมหึมา หน้าหอพระไตรปิฎกมีเรือการเวกจำลอง รถสามารถแล่นเข้าไปถึงรั้วเจดีย์ได้เลย พระมหาธาตุองค์นี้เคยถล่มลงมาด้วยแผ่นดินไหว เมื่อ ๕ กรกฎาคม ๑๙๑๗ เขาบูรณะขึ้นมาใหม่ หุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ เก็บเอาส่วนยอดเจดีย์ที่พังลงมาไว้ให้ดูเล่น ๑ ชิ้น มันใหญ่ขนาดสร้างเจดีย์เอาไว้ข้างบนได้ตั้งห้าองค์แน่ะ..! กราบพระมหาธาตุทั้งสี่ทิศ แล้วหามุมถ่ายรูป แดดกำลังจัด คงหาภาพดี ๆ ได้ยาก |
2 Attachment(s)
ออกจากพระมหาเจดีย์ชุยมอดอ ท่านนาวินพาไปกราบพระนอนองค์ใหญ่ที่วัดชุยตาเลียว (คนไทยเรียกชเวตาเลือง) เป็นพระไสยาสน์ลืมเนตร ขนาดยาว ๑๘๐ ฟุต อยู่ในศาลาใหญ่เหมือนกับหัวลำโพงของเรา หลังองค์พระเป็นภาพปูนปั้นประวัติการสร้างพระ ขนาดภาพประมาณ ๕ เมตร จำนวน ๑๐ ภาพ สีสันสดใสเจิดจ้าดีมาก คนมานมัสการกันมากมาย ร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมด คนขายพอจะพูดไทยได้บ้าง
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1268377233 หลวงพ่อโต วัดชุยตาเลียว มณฑลหงสาวดี ย้อนมาหามุมสวย ๆ ถ่ายภาพพระมหาเจดีย์ชุยมอดอใหม่แล้ว ออกไปยังซูเปอร์ไฮเวย์เพื่อตรงไปมณฑลย่างกุ้ง ถนนลาดยางขนาดสี่เลน สภาพพอทนได้ ข้างทางมีร้านขายแตงโมเยอะแยะ อีกฝั่งเป็นร้านขายเครื่องปั้นดินเผา แต่ฝีมือหยาบมาก เทียบกับทางเกาะเกร็ดของเราไม่ติด บางตอนมีเกวียนวิ่งแข่งกับรถเป็นภาพที่ตัดกันน่าดู http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1268377340 สภาพในตัวเมืองย่างกุ้ง มีแต่รถยนต์รุ่นเก่า ๆ ธงฉัพพรรณรังสีกับจีวรพระศักดิ์สิทธิ์พอสมควร ผ่านฟรีมาหลายด่าน กระทั่งด่านเข้าเมืองย่างกุ้ง ที่เหมือนด่านเก็บเงินทางด่วนของเราก็เช่นกัน พอเห็นก็รีบเปิดให้ผ่านทันที เข้าเมืองแล้วรถรามากขึ้น แต่เก่า ๆ ทั้งนั้น ขนาดใหม่สุดขีดอย่างโตโยต้าเซิร์ฟ นิสสันพรีเซีย มิตซูบิชิปาเจโร ล้วนแต่เป็นรุ่นที่ตกยุคจากบ้านเราไปหลายปีแล้ว |
2 Attachment(s)
ตึกทรงใหม่ ๆ มีมากขึ้น แต่ต้นไม้ยังเต็มสองข้างทาง คณะของเราตรงไปยังพระมหาเจดีย์ชุยดากง ที่คนไทยเรียกว่าชเวดากอง อยู่ตรงข้ามกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ รอบพระมหาเจดีย์เป็นต้นไม้ทึบ เหมือนป่ากลางเมือง มีอีกาเป็นฝูง ๆ คอยตามขออาหารจากนักท่องเที่ยว พอจอดรถมันบินมาเกาะหลังคารถทันทีเลยเชียว..!
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1271514419 พระมหาเจดีย์ชุยดากง หมายถึง พระเจดีย์ทองคำแห่งเมืองดากง(พม่าโบราณ) ทางขึ้นพระมหาเจดีย์ชุยดากง เป็นบันไดเลื่อนแบบห้างสรรพสินค้าบ้านเรา ๔ ชุด เห็นแล้วทึ่งมาก เขาทุ่มเทให้ศาสนากันขนาดนี้ทีเดียว ผู้คนแออัดยัดเยียดกันขึ้นไปกราบพระมหาเจดีย์ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ นักบวชสารพัดลัทธิ ที่มากที่สุดก็ชาวบ้านของเขาเอง ไปกราบไหว้สวดมนต์ภาวนากันมืดฟ้ามัวดิน ตู้บริจาคทุกใบเต็มเอี๊ยดไปซะทั้งนั้น..! http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1268666148 บันไดเลื่อนขึ้นพระมหาเจดีย์ชุยดากง (ชเวดากอง) เขากำลังปรับปรุงปิดทองเจดีย์รายรอบพระมหาเจดีย์ นั่งร้านเกะกะไปหมด เดินทักษิณาวัตรรอบองค์เจดีย์ สวดอิติปิโสได้ ๔ จบพอดี แล้วลงมาเข้าห้องน้ำกัน จ่ายคนละ ๒ จั๊ต พระฟรีตามระเบียบ นั่งพักฉันน้ำอัดลมยี่ห้อเคว้นซ์ ขวดละ ๒๕ จั๊ต ท่านกุมาระพระพม่าเป็นผู้จ่าย จากนั้นไปกราบพระมหาเจดีย์วิสะยะที่อยู่ใกล้ ๆ กัน… |
1 Attachment(s)
พระมหาเจดีย์มหาวิสะยะสร้างเพื่อระลึกถึงอูวิสะยะ (ท่านวิสาระ) ซึ่งเป็นพระภิกษุที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเรียกร้องเอกราชคืนจากอังกฤษ อดข้าวประท้วงอยู่ ๑๖๖ วัน จนมรณภาพ จึงมีการสร้างพระมหาเจดีย์มหาวิสะยะเป็นที่ระลึกถึง ตรงสี่แยกมีอนุสาวรีย์ของท่านตั้งเอาไว้ด้วย พระมหาเจดีย์เป็นทรงคล้ายระฆังคว่ำแต่สอบกว่า กำลังห่มเสื่อลำแพนปิดทองอยู่เหมือนกัน ทางด้านนี้มีมุมพอจะถ่ายภาพพระมหาเจดีย์ชุยดากงได้
หลงกับรถซะนี่...ออกมาหามุมสวย ๆ ถ่ายรูป เดินกลับเข้าไปดันหารถไม่เจอ วนอยู่สองรอบจนคิดว่างานนี้คงได้ลุยพม่าคนเดียวแน่ ๆ พอดีเหลือบเห็นเจ้าโตเดินวนหาอาตมาอยู่เหมือนกัน ที่แท้โซยุนท์จอดรถผิดที่ พอเจ้าหน้าที่มาสั่งให้เลื่อนไป เลยทำให้พลัดหลงกัน เตรียมใจไว้ว่าจะต้องลุยเดี่ยวแล้วเชียวนา ฮิ ฮิ http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1268751204 พระมหาเจดีย์มหาวิสะยะ (มหาวิสาระ) เมืองย่างกุ้ง ไปบ้านของลูกแมว ตามที่อยู่ซึ่งแม่ออกกงซุ่ยจดให้ท่านนาวินไว้ เป็นร้านอาหารหาไม่ยาก โซยุนท์มาจอดถามเขาเยื้อง ๆ กับร้านพอดี อู เมียว มินไตน์ กับดอว์นาน เอเอ จี ดีใจมากที่ได้ข่าวจากแม่ออก กำชับว่าให้ลูกแมวอยู่ที่ด่านเจดีย์สามองค์นาน ๆ เพราะหนุ่มน้อยที่เป็นคู่รักของลูกแมว ยังมาวนเวียนถามหาอยู่แทบทุกวัน สรุปได้ความว่า เอจีให้แม่ออกพาลูกสาวหนีหนุ่มที่มาวอแว เพราะกลัวลูกแมวจะเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย อูเมียวให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ไว้ บอกว่าถ้าลูกเป็ดลูกสาวอีกคนจบชั้น ๑๐ แสตนดาร์ดแล้ว จะฝากไปเรียนภาษาไทยด้วย เห็นลักษณะซื่อ ๆ แจ่มใสของเธอแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย ขืนหูตาแพรวพราวแบบลูกแมว พระเณรคงลำบากใจแย่ |
1 Attachment(s)
เสร็จธุระแล้วมาขอพักที่วัดไจ๊ดง เป็นวัดไทยใหญ่ มีท่านอาจารย์ปัญญาสามิเป็นเจ้าอาวาส เดิมท่านอยู่เชียงตุง เพิ่งมาอยู่พัฒนาวัดนี้ได้ ๑๐ ปี แต่ก็ทำได้ไม่น้อยหน้าวัดอื่น ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ กุฏิ ศาลาการเปรียญ ก่อสร้างได้แข็งแรงสวยงามมาก แถมยังติดแอร์อีกต่างหาก...แต่เจดีย์องค์เล็กมาก ถูกวัดไจ๊ไวพะยาฝั่งตรงข้ามข่มจ๋อยสนิทไปเลย
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1268840700 อูปัญญาสามิ เจ้าอาวาสวัดไจ๊ดง (เขมาราม) เมืองย่างกุ้ง ท่านอาจารย์ปัญญาสามิพูดไทยกลางได้นิดหน่อย แต่อู้คำเมืองได้มาก ขอให้อาตมาพูดไทยกลางด้วย เพราะมีพระไทยมาขอพักด้วยทุกปี ท่านอยากจะหัดพูดภาษาไทยกลางให้เก่ง จะได้ปฏิสันถารกับอาคันตุกะสะดวกขึ้น ท่านให้คณะของเราพักอยู่ในโบสถ์ตามเคย ได้สรงน้ำซักผ้ากันเต็มที่ น้ำเป็นบ่อบาดาลสูบมาลงอ่างซีเมนต์ มีปัญญาจะอาบเท่าไรก็เชิญ |
1 Attachment(s)
ตอนค่ำมีขบวนพระไทยใหญ่มาจากเมืองโมกก (เมืองโคก) พาบรรดาสาว ๆ มางานแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่ย่างกุ้ง แล้วแวะมาทำบุญด้วย สาว ๆ เขาแต่งตัวเต็มยศ ประดับเครื่องเงินกันเต็มที่ อาตมาต้องใช้ถึง ๕-๖ ภาษา กว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่อง บอกกับเขาว่าทางดอยอ่างขางของไทยมีพี่น้องเขาอยู่กันมาก…
พวกเขาสอบถามกันใหญ่ว่าพี่น้องของเขาอยู่กันอย่างไร ? อาตมาบอกว่าทำงานอยู่กับโครงการหลวง ในหลวงจัดพื้นที่ให้อยู่เป็นหมู่บ้านโดยเฉพาะ พวกเราเรียกเขาว่า “ดาระอั้ง” พอได้ยินดังนั้น ทั้งพระทั้งฆราวาสต่างแสดงความดีใจจนออกนอกหน้า เขาว่าพวกพม่าไม่ให้เกียรติพวกเขาแบบนั้น มักเรียกเขาอย่างดูถูกว่า “ปะหล่อง”… http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1269166438 คณะแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยใหญ่ มาจากเมืองโมกก ทุกคนย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้าผ่านไปทางโมกกให้แวะเยี่ยมพวกเขาบ้าง อย่าลืมว่าต่างก็เป็นคนไทยเหมือนกัน เพียงแต่ห่างกันจนไปมาหาสู่กันไม่ถูกแล้ว… จากนั้นเป็นการถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก อาตมาบอกกับพวกเขาว่า ถ้าจะไปเมืองไทยให้เข้าทางแม่สายจะใกล้กว่า ถ้าไปทางด่านเจดีย์แบบอาตมา มันจะไกลโดยใช่เหตุ อาตมาจดที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษีเป็นภาษาอังกฤษให้แก่พวกเขาด้วย… บรรดาไทยใหญ่ทั้งหลายลากลับกันไปหมดแล้ว อาตมากับท่านนาวินสนทนากับท่านอาจารย์ปัญญาสามิ จนเกือบห้าทุ่มจึงลากลับไปพักผ่อน ท่านกุสะละ ท่านกุมาระ ท่านพร หลับกรนแข่งกัน เจ้าโตกับหนุ่มเจนอนอยู่อีกมุมหนึ่ง ไม่เห็นโซยุนท์กับวินจี คงจะไปนอนเฝ้ารถอยู่ด้วยกัน อาตมาส่งใจขึ้นกราบพระแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว… คลิกเพื่ออ่านตอนต่อไป |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:16 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.