![]() |
เกิดผิดยุคผิดสมัย
อ่านประวัติศาสตร์ไทยรบพม่าแล้ว พวกเราเห็นภาพพจน์ของพระมหาอุปราชาไปในลักษณะไหน ? แพ้ทั้งปี..ใช่ไหม ?
มังสามเกียด ต้องบอกว่าท่านเกิดผิดยุค ถ้าหากไม่ได้เกิดยุคเดียวกับพระนเรศวร ท่านคงประสบความสำเร็จมาก ไปนึกถึงพระพุทธเจ้ากับพระเทวทัต ศึกษาวิชาอยู่กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์เดียวกัน อาจารย์ก็จะชมว่าเทวทัตนั้นเก่ง แต่สิทธัตถะเก่งกว่า..ประจำเลย เขาเรียกว่าเกิดผิดยุค ถ้าต่างคนต่างเกิดคนละประเทศ ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกันก็ดังทั้งคู่ แต่นี่ต้องมาเกี่ยวดองกัน ก็เลยกลายเป็นถูกตีตราว่าแพ้ตลอด แต่ถ้าเราพิจารณากันให้ดี ๆ ต้องบอกว่าพระมหาอุปราช ฝีมือท่านพอตัวเลย เพราะว่าทันทีที่พระนเรศวรประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง พระองค์ก็ยกทัพบุกหงสาวดีเลย ปรากฏว่าพระเจ้านันทบุเรงไม่อยู่ ยกทัพไปตีเมืองอังวะ คนที่เฝ้าหงสาวดีก็คือพระมหาอุปราช พระนเรศวรต้องถอยทัพกลับ ถ้าอยู่ในสถานที่อันเหมาะสม ก็แปลว่าฝีมือของท่านอยู่ในระดับที่น่าเกรงขามทีเดียว ถ้าหากว่ากันตามประวัติศาสตร์ พระมหาอุปราชชนไก่ก็แพ้ ตีเมืองคังก็แพ้ ทำยุทธหัตถีก็แพ้ ของอาตมาเองนี่น้องชายเขาเกิดผิดยุค อาตมาเรียนเก่ง เขาก็ไปหวังกับน้องชายด้วยว่าต้องเหมือนกัน อาตมาทำให้น้องหมดความมั่นใจไปเลย เพราะอาตมาเก่งกว่า ตอนที่เขาจะเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท เขาก็บ่นว่ากลัวจะเรียนไม่ไหว อาตมาต้องตบกะโหลกบอกว่า "เอ็งจำไว้เลยนะว่า..ในโลกนี้เอ็งแพ้ข้าคนเดียว..!" ถ้าไม่ตบกะโหลกให้เขารู้ว่า เขาเองก็มีความสามารถ เขาจะหมดกำลังใจ เพราะเขาแพ้อาตมาตลอด ขอสรุปว่า ถ้าเราเกิดผิดยุคผิดสมัย เราอาจจะตกจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่ถ้าเกิดถูกยุคถูกสมัย ความสามารถห่วย ๆ อย่างเรานี่ อาจจะดังระเบิดติดประวัติศาสตร์ไปชั่วฟ้าดินสลายเลย ดังนั้น..แต่ละคนจะต้องหาช่องทางของตัวเอง แล้วก็ตะกายขึ้นไป ต้องดูต้นไม้ เวลาต้นไม้งอกขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง แต่ถ้าเกิดมาเจอว่าอยู่ใต้ร่มไม้อื่นเขา ต้นไม้ก็พยายามจะเบนออกไปหาแสงแดด แล้วก็ชูยอดขึ้นไปในจุดที่เหมาะสมกับตัวเอง ในความเป็นคนของพวกเรา ต้องมีปัญญามากกว่าต้นไม้ ในเมื่อต้นไม้หาจุดในที่เหมาะสมของเขาได้ เราก็ต้องหาได้ ในเมื่อเอาดีทางโลกไม่ได้ เอาดีทางธรรมก็ได้ รับรองว่าดีแท้ด้วย พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันศุกร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ |
นึกถึงยอดม้าแข่งอมตะนิรันดร์กาลของออสเตรเลีย ที่เขาถึงกับต้องดองหัวใจเก็บไว้ในอนุสรณ์สถาน ณ กรุงแคนเบอร์ร่าเป็นที่ระลึก
ครั้งม้าแข่งตัวนี้แรกมาถึงประเทศออสเตรเลีย เจ้าของได้ขอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเชื้อสายไทยช่วยตั้งชื่อ จึงได้ชื่อเป็นไทยว่าฟ้าแลบ เจ้าของได้ฝึกฟ้าแลบด้วยการให้วิ่งแข่งกับม้าอื่น แต่ให้ดึงม้าอื่นไว้ไม่ให้ขึ้นหน้า บ่มเพาะนิสัยยอดม้าอาชาไนยให้กับฟ้าแลบที่ต้องวิ่งแซงและนำหน้าม้าอื่นให้ได้ ซึ่งก็สำเร็จอย่างงดงาม ฟ้าแลบอยู่หลังม้าอื่นไม่เป็นจริง ๆ ทุกครั้งที่ลงแข่งจะต้องควบสุดชีวิตนำหน้าม้าอื่นให้ได้ เข้าวินทุกครั้ง จนเป็นโรคสังคมรังเกียจ ไม่มีใครยอมแข่งด้วย เจ้าของต้องต่อให้ด้วยการถ่วงน้ำหนักที่อาน เพื่อหาเงินจากฟ้าแลบต่อไป และในเมื่อฟ้าแลบยังชนะอยู่เรื่อย ๆ น้ำหนักถ่วงก็ถูกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดหัวใจของฟ้าแลบสุดที่จะทนต่อไปได้ ฟ้าแลบล้มเมื่อสิ้นสุดการแข่งครั้งสุดท้าย |
ลูกคนแรกกับคนที่สองแรก ๆ ก็มีสภาพคล้ายกรณีพระอาจารย์กับหลวงอาแสงชัย คือคนแรกสนใจการเรียนและมีผลการเรียนที่ดีกว่า แต่พอเริ่มเข้าสู่ชั้นประถมปลาย ก็กระตุ้นลูกคนที่ ๒ เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการบอกเขาว่าที่จริงเขาเป็นคนเก่ง เพียงแต่ยังไม่รู้จักนำศักยภาพของเขาออกมาใช้ให้เต็มที่ พร้อมกับให้ความสนใจกับผลการเรียนของเขามากขึ้น แม้ test เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็คอยติดตามสอบถามและให้รางวัลหากทำได้ดี แต่ก็ไม่ได้ตำหนิหากยังทำไม่ได้
ลูกสนใจการเรียนมากขึ้น พยายามเอาใจพ่อ และพัฒนาเกรดดีขึ้นอย่างรวดเร็ว พอขึ้น ม.๑ เปลี่ยนโรงเรียน เข้าสู่สภาพแวดล้อมใหม่ ในการสอบครั้งแรก ๆ ทำได้ดีมาก ๆ มีภาพพจน์เป็นเด็กเก่งในสายตาของเพื่อน ๆ และครูที่โรงเรียนใหม่ ลูกจึงเข้าสู่สภาพคล้ายฟ้าแลบ เกิดความจำเป็นต้องรักษาตำแหน่ง สิ้นเทอมผลการเรียนก็ออกมาเป็นที่ ๑ กลายเป็นฟ้าแลบเต็มตัวเลยทีนี้ ใครสนใจจะนำไปปรับใช้ก็เชิญครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ |
เสริม
อ้างอิง:
:7f5341cc:แม่ทัพจิวยี่ นับว่าเป็นขุนพลยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่ดันมาเกิดเจอคู่ปรับ ทำให้ผูกปีแพ้ตลอดศก จึงสะกดคำว่าชนะขงเบ้งไม่เป็น รบคราใด ก็แพ้ครานั้นทุกที...(สำนวนมวยไทยก็ต้องบอกว่าแพ้ทางมวย):cebollita_onion-09: น่าจะพอกล้อมแกล้มเข้ากับเรื่องเกิดผิดยุคผิดสมัยได้...:l438412717dh8: |
อ้างอิง:
|
อ้างอิง:
ฟ้าเลยเข้าข้างสุมาอี้มากกว่า ไม่อย่างนั้นสุมาอี้เป็นไก่ย่างไปแล้ว |
อ้างอิง:
ส่วนตัวเขา(สุมาอี้) โจโฉเห็นแววตั้งแต่ยังหนุ่ม จึงดึงเข้าไปทำงานด้วย แต่สุมาอี้แกล้งทำเป็นป่วยจึงไม่ดังแต่แรกครับ(ช่วงนั้นพวกดัง ๆ ของโจโฉก็ได้แก่ ซุนฮก, ซุนฮิว, กุยแก, กาเซี่ยง) แต่ถึงจะไม่ดังโจโฉก็เรียกใช้งานนะครับแถมยังจับตามองเป็นพิเศษ แม้แต่ตอนโจโฉจะตาย ก็ยังสั่งห้ามไม่ให้ลูกชายเรียกใช้งานสุมาอี้ครับ เนื่องจากความรอบจัดของเขานั่นเอง ซึ่งผลมันก็แสดงให้เห็นในรุ่นลูกและหลานของเขาครับ หมายเหตุ ลำดับชั้นยศทางทหารของจีนในยุคของโจโฉคือ ๑. สมุหกลาโหม ๒. นายพลรถศึก ศักดิ์เท่ากับ นายพลทหารม้า ๓. นายพลตำแหน่งเฉพาะกิจ เช่น -นายพลที่ออกไปทำศึกทิศต่าง ๆ (เหนือ, ใต้, ออก, ตก) -นายพลที่ทำหน้าที่ป้องกันเมืองสำคัญ ๆ ในทิศต่าง ๆ (เหนือ,ใต้, ออก, ตก) -นายพลที่ป้องกันทัพศัตรูจากทิศต่าง ๆ (เหนือ, ใต้, ออก, ตก) ๔.นายพลทหารรักษาพระองค์ |
รู้เลยว่าคบใครไม่ได้บ้าง :onion_eiei:
|
พูดถึงสุมาอี้แล้ว ชอบตอนที่ขงเบ้งท้ารบแต่สุมาอี้ไม่ยอมออกรบเนื่องจากเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ขงเบ้งจึงยั่วยุด้วยการส่งเสื้อผ้าอาภรณ์ของอิสตรีไปเป็นของกำนัล
แก่สุมาอี้ หวังให้สุมาอี้ได้รับความอับอายและเกิดโทสะรบพุ่งกันในที่สุด แต่สุมาอี้ไม่เพียงไม่โกรธ มิหนำซ้ำกลับสวมใส่ชุดนั้นต่อหน้าทูต ทั้งยังให้การเลี้ยงดูปูเสื่อ ทูตเป็นอย่างดี กระทั่งสามารถล้วงความลับภายในกองทัพของขงเบ้งได้ งานนี้เรียกได้ว่า ขงเบ้งเสียเหลี่ยมไปเล็กน้อย เรื่องนี้ได้ข้อคิดว่า หากหวังความสำเร็จ ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด จิตใจต้องหนักแน่น |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:53 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.