![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๘ |
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศยามเช้าที่ Hotel Mudra อยู่ที่ ๑๒ องศาเซลเซียส แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนาวเช่นเคย ต้องเจริญพรขอบคุณ "มหามาตา" และบริวารเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าพวกเราจะนัดกันที่เลข ๖ - ๗ - ๘ ก็ตาม แต่ว่าห้องอาหารเปิดตั้งแต่ ๖ โมงเช้าแล้ว พวกเราจึงลงไปรับประทานอาหารกันตามอัธยาศัย กระผม/อาตมภาพมีนิสัยที่ว่า ไปไหนก็กินอาหารพื้นบ้านของเขา จึงไม่ค่อยได้สนใจอาหารที่ทางเอ็นซีทัวร์พกมาจากเมืองไทยสักเท่าไรนัก เมื่ออิ่มแล้วก็จัดการคืนห้อง เตรียมตัวที่จะเดินทางเพื่อไปสักการะธัมเมกขสถูป ซึ่งเป็นสถานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพงปฐมเทศนา บริเวณป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปรากฏว่าเมื่อพวกเราทั้งหลายขึ้นรถแล้ว วิ่งไปไม่ถึง ๕ นาทีดี ก็มาจอดอยู่หน้าวัดไทยเมืองสารนาถ แล้วก็เดินเข้าไปในบริเวณป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศอินเดียนั้นยังใช้ระบบโบราณอยู่ ก็คือเปิดเมื่อตะวันขึ้น และปิดเมื่อตะวันลับฟ้า ดังนั้น..จึงไม่มีเวลาเปิดปิดที่แน่นอน ต้องเป็นไปตามสภาพอากาศของฤดูกาลนั้น ๆ พวกเราเดินเข้าไปในบริเวณแรก ท่านเจ้าคุณกอล์ฟ - พระวิเทศวัชราจารย์ (เฉลิมชาติ ชาติวโร) เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร เลขานุการธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล ซึ่งเป็นพระธรรมวิทยากรประจำคณะของเรา ก็ชี้ให้ดูธัมมราชิกสถูป ซึ่งเป็นบริเวณที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงอนัตตลักขณสูตรต่อปัญจวัคคีย์ แล้วทั้ง ๕ รูปก็บรรลุอรหัตผลด้วยกันทั้งหมด จากนั้นพวกเราก็เดินไปสักการะพระมูลคันธกุฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสถานที่แห่งแรกที่พระองค์ท่านจำพรรษา และเป็นพรรษาแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่พวกเราฟังบรรยายแล้วก็ได้เดินไปดูเสาอโศก ซึ่งหักเป็นสามท่อนอยู่ แต่ว่าเขาเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี จากนั้นถึงได้อ้อมไปทางด้านหน้าพระมูลคันธกุฎี ไปฟังบรรยายและสวดมนต์ถวายกันที่นั่น ปรากฏว่ามีญาติโยมคณะหนึ่ง ซึ่งดูแล้วว่าเป็นชาวอินเดียล้วน ๆ แต่น่าจะเป็นชาวพุทธ เมื่อเห็นพวกเราสวดมนต์ถวายสักการะ และถ่ายรูปหมู่อยู่ ทุกคนก็ยืนรอกันเป็นระเบียบเรียบร้อย |
เมื่อออกจากทางด้านพระมูลคันธกุฎี เดินไปอีกนิดหนึ่ง ก็เป็นสถานที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร ในตอนแรกบรรลุเป็นพระโสดาบัน ครั้นเมื่อบิดาตามมาถึง พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาเหมือนเดิม ทำให้บิดาของยสกุลบุตรบรรลุโสดาบัน แต่ว่ายสกลบุตรสำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว..!
เมื่อถ่ายรูปกับสถานที่แล้ว พวกเราก็เดินไปยังธัมเมกขสถูป อันเป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา หรือว่าที่เราเรียกกันว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั่นเอง กระผม/อาตมภาพเห็นว่าบริเวณรอบข้างนั้นมีพื้นที่กว้างขวางพอ ดังนั้น..จากการที่เขาจัดเตรียมสถานที่เอาไว้เพื่อที่จะให้พวกเราไปนั่งสวดมนต์ กระผม/อาตมภาพจึงชวนท่านเจ้าคุณกอล์ฟ พระครูธรรมธรวรัญญู อคฺควชิโร, ดร. พระธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล ตลอดจนกระทั่งคณะทุกคน เดินประทักษิณรอบธัมเมกขสถูปและสวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ถวายเป็นพุทธบูชาไป ๓ จบ จากนั้นค่อยมานั่งฟังบรรยาย และเจริญพระกรรมฐานกันอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านทิศตะวันตก แต่ว่าจะหันหน้าไปหาทิศตะวันออก เมื่อกระผม/อาตมภาพนั่งลง ก็มีคนยัดเยียดสิ่งของประเภทพระพุทธรูปบ้าง พระเครื่องบ้าง ตลอดจนกระทั่งลูกประคำมาอยู่ในมือ ประมาณว่า "รบกวนเสกให้ด้วย..!" ลมทางด้านนี้ก็แรงและเย็นเหลือใจ กระผม/อาตมภาพเองทนไปได้พักหนึ่ง ก็เริ่มมีอาการตะคริวกิน ยังโชคดีที่ว่าทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยลงด้วยดี เมื่อถ่ายรูปหมู่กันเสร็จแล้ว พวกเราก็เดินไปยังวัดไทยสารนาถ ซึ่งเจ้าคุณกอล์ฟพากระผม/อาตมภาพเดินวนรอบใหญ่ เพื่อที่จะได้ดูว่าทางด้านป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น มีความใหญ่โตมโหฬารเพียงใด จึงทำให้ไปถึงวัดไทยสารนาถช้ากว่าคนอื่นเขา..! เมื่อเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปยังอุโบสถวัดไทยสารนาถ เพื่อที่จะร่วมกันถวายผ้าป่าบูรณะวัดกับหลวงพ่อสุมงฺคลิโก ซึ่งท่านเป็นคนอินเดียแท้ ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนอินเดียทางรัฐอรุณาจัล หน้าตาของท่านก็เลยออกมาทางชาวเหนือของไทย และพูดไทยชัดมาก ถ้าหากว่าไม่มีใครบอกก็ไม่รู้ว่าเป็นแขกเต็มตัว..! เมื่อท่านเจ้าคุณกอล์ฟบอกให้กราบกระผม/อาตมภาพก่อน หลวงพ่อสุมงฺคลิโกก็ยังลังเล เนื่องเพราะคิดว่าท่านเจ้าคุณกอล์ฟจะอาวุโสมากกว่า กระผม/อาตมภาพก็ออกอาการ "หัวเราะมิได้ ร่ำไห้ไม่ออก" ตามเคย ขออภัยที่แก่ช้าไปหน่อย..! |
เมื่อทำพิธีถวายผ้าป่ากันเรียบร้อยและรับพรแล้ว พวกเราก็มารับประทานอาหารกลางวันกัน ทางโรงครัวของวัดไทยสารนาถ จัดอาหารกลางวันรสชาติดีเอาไว้ เพื่อให้พวกเราได้กินกันอย่างเต็มที่
เมื่ออิ่มแล้ว ยังมีเวลาเหลืออยู่ จึงให้พวกเราทั้งหมดไปเดินตลาด ก็คือซื้อหาสิ่งของ กระผม/อาตมภาพและท่านปิง (พระกวีศิลป์ วิสุทฺธิกุโล) ได้ไปเดินทางด้านหน้าวัดไทยสารนาถ ซึ่งมีข้าวของจำหน่ายมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคนเดินตามขอทานไปตลอดทาง ทำให้ไม่ได้รับความสะดวก ครั้นเข้ามาในวัด ปรากฏว่าทางด้านลูกศิษย์วัดไปหอบข้าวของต่าง ๆ มาขายอยู่ข้างใน..! ด้วยความที่มาช้าก็เลยไม่รู้ว่าเขามีบริการแบบ "เดลิเวรี่" ถึงที่แบบนี้ด้วย แต่ละคนก็เลยซื้อข้าวของกันไปหอบสองหอบ ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าจะฝากกันทั่วถึงหรือเปล่า ? จากนั้นพวกเราก็ลาหลวงพ่อสุมงฺคลิโก เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองกุสินารา เมื่อขึ้นรถมาและฟังบรรยายจากพระครูธรรมธรวรัญญ, ดร. แล้ว พวกเราก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย กระผม/อาตมภาพลืมตาขึ้นมาจากการภาวนา เป็นช่วงที่กำลังข้ามแม่น้ำสรภู ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่สำคัญแม่น้ำสายหนึ่งของประเทศอินเดีย หลังจากวิ่งไปอีกเพียงเล็กน้อย ก็สังเกตเห็นว่าในนานั้นมีกวางอยู่หลายตัว ครั้นพอกล่าวถึง ท่านเจ้าคุณกอล์ฟและพระครูธรรมธรวรัญญ, ดร. ของเราก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ บอกว่าไม่ใช่กวาง แต่นั่นคือ "นิลกาย" ซึ่งเป็นสัตว์สงวนหายากสุด ๆ ของอินเดียเขา วันนี้มาปรากฏตัวทั้งสองฝั่ง ก็คือฝั่งถนนด้านซ้ายและด้านขวา หากินอยู่ในนาของชาวบ้านแบบไม่สนใจอะไรเลย นิลกายนั้นเป็นสัตว์ตระกูลวัว แต่หน้าตาแปลกมาก เพราะว่าลักษณะของตัวเป็นวัว แต่ว่าคอเหมือนม้า หน้าเหมือนกวาง คางเหมือนแพะ ก็คือตัวผู้มีเคราเหมือนแพะด้วย ถ้าหากว่าเป็นตัวเมียก็สีอ่อนออกไปทางสีน้ำตาล แต่ว่าตัวผู้นั้นออกไปทางสีดำ จึงได้ชื่อว่านิลกาย อากาศนอกรถของเรานั้นเย็นเฉียบทีเดียว ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ ๒๐ องศาเซลเซียสเท่านั้น พวกเราวิ่งต่อไปได้อีกไม่นาน ก็แวะเข้าห้องน้ำกันก่อน เป็นห้องน้ำของโรงแรมที่ชื่อ Hotel Madhuban ซึ่งจริง ๆ ก็คือ "มธุปานะ" หรือว่าน้ำผึ้งนั่นเอง เมื่อเข้าห้องน้ำกันแล้วก็ไปอุดหนุนเขา ที่มีทั้งโยเกิร์ต มีทั้งชานม ซึ่งเรียกว่ากะลัมไจย แต่ของกระผม/อาตมภาพนั้นสั่งเอาชาดำธรรมมา ๒ แก้ว |
หลังจากฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปเข้าห้องน้ำอีกรอบหนึ่ง แล้วค่อยกลับขึ้นรถ วิ่งออกไปได้ไม่นานเท่านั้น เสียงร้อง "เฮ้ย..!" จากคนขับก็ทำเอาพวกเราสะดุ้ง เนื่องเพราะว่ามีรถจักรยานเลี้ยวตัดหน้ากะทันหัน..! เบรกอย่างไรก็เบรกไม่อยู่ มีหวังตายแน่นอน คนขับถึงขนาดหักขึ้นไปบนเกาะกลางถนนเลย..! เสียงดังโครมสนั่น แล้วมีเสียงขลุก ๆ อยู่ใต้ท้องรถด้วย กระผม/อาตมภาพเห็นสภาพแล้วว่าเอ็งไม่รอดแน่นอน..! แต่ท่านเจ้าคุณกอล์ฟบอกว่า "มันกระเด็นออกไปทางด้านอีกฝั่งหนึ่งของถนน" รอดไปได้ แต่ว่าจักรยานพังแหลกหมดทั้งคัน..!
ในเรื่องของอุบัติเหตุทางรถยนต์ของประเทศอินเดียนั้น ถ้าไม่บาดเจ็บสาหัส หรือถึงแก่ชีวิต เขาถือว่าขอกันกิน รถของเราก็เลยวิ่งต่อกันไปหน้าตาเฉย..! ท่ามกลางความงุนงงสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ไอ้คนขี่จักรยานมันรอดตายได้อย่างไร ? พวกเราไม่เพียงสงสัย คาดว่าตัวมันเองก็สงสัยไม่ต่างจากพวกเราแน่นอน ต้องขอบพระคุณ "มหามาตา" และบริวารที่ช่วยเหลือสุดชีวิต ถ้าหากว่าไม่ช่วยถีบมันออกไป มีหวังได้เป็นศพแน่นอน แล้วรถเราที่ปีนเกาะกลางถนนก็กลับลงมาอย่างนิ่มนวล แทนที่จะกระโจนข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง หรือไม่ก็พลิกคว่ำไปเลย..! กลับไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น วิ่งต่อกันไปหน้าตาเฉย..! สภาพอากาศทางด้านนอกมืดมัวไปหมด แต่ว่าไม่ใช่หมอก หากแต่ว่าเป็นฝุ่นพีเอ็ม ๒.๕ ที่หนาแน่นจนกระทั่งตัวเลขแดงแจ๋ขนาดนั้น..! ประมาณ ๑๗.๔๐ น. พวกเรามาถึงวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ได้เข้าไปกราบพระประธาน และร่วมกันทำบุญถวายผ้าป่า ซึ่งมีทั้งสร้างโรงพยาบาล ทั้งผ้าป่า และถวายพระสงฆ์ กระผม/อาตมภาพใส่ไปกองละ ๑๐,๐๐๐ รูปีเหมือนเดิม หลังจากนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเงินไทยหรือเงินรูปี ถ้าหากว่าขาดก็จะพยายามเติมให้เต็ม ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ ทุกกอง ดังนั้น..ตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพคนเดียวน่าจะใช้ไปเกิน ๔๐,๐๐๐ รูปี..! เมื่อถวายสังฆทานเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ยังมาช่วยกันเปิดไฟถวายพระเจดีย์กุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งมีพิธีการอ่านโองการประกาศบอกเทวดา และให้กระผม/อาตมภาพเป็นคนกดปุ่ม หลังจากที่ทำการตามไฟถวายเป็นพุทธบูชาแล้ว พวกเราก็ขอลาจากทางวัดกุสินาราเฉลิมราชย์ ฝ่าอากาศหนาวเฉียบที่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ ๑๖ องศาเซลเซียสเท่านั้น มายังโรงแรม ดิ อิมพีเรียล กุสินารา ซึ่งมีรูปของหลวงพ่อพระนอนปรินิพพาองค์ใหญ่อยู่กลางโรงแรมเลยทีเดียว..! เมื่อรับกุญแจมาได้ เข้าสู่ห้องพักแล้วกระผม/อาตมภาพดีใจมาก เนื่องเพราะว่ามีอ่างน้ำ วันนี้จะได้แช่น้ำร้อนให้หายเมื่อยหายขบเสียที จึงรีบทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ก่อน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:57 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.