กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=169)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11365)

ตัวเล็ก 08-12-2025 19:35

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๘



เถรี 09-12-2025 00:12

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อเช้ากระผม/อาตมภาพไปร่วมพิธีฉลองปริญญาบัตรของบัณฑิตและมหาบัณฑิตใหม่ วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ ซึ่งการฉลองปริญญาบัตรนั้นแสดงออกซึ่งความสำเร็จในการศึกษาก็จริง แต่เป็นการศึกษาทางโลกซึ่งเรียนจบในแต่ละระดับ ไม่ได้หมายความว่าต้องหยุดอยู่กับที่ เนื่องเพราะว่าโลกหมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ก็เท่ากับถอยหลังแล้ว โดยเฉพาะบัณฑิต ซึ่งแปลตรงตัวว่าผู้รู้ดี ก็คือรู้ชัดแล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว จึงควรที่จะละชั่ว ทำดี ให้สมกับความเป็นบัณฑิตของตนเอง

โดยเฉพาะอย่าลืมบาลีที่ว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรเราก็พูดอย่างนั้น ก็คือต้องมีคุณสมบัติของการเป็นคนตรง เป็นบุคคลที่สมควรแก่ฐานะ ไม่ใช่ว่าเป็นบัณฑิตแล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ แล้วในขณะเดียวกัน ก็ต้องนำวิชาความรู้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด โดยเฉพาะถ้ามีโอกาสก็ต้องถ่ายทอดต่อให้กับบุคคลอื่น เพื่อที่ความรู้จะได้ไม่ถูกเก็บตายอยู่กับตนเอง

ดังนั้น..ในส่วนนี้จึงเป็นเรื่องที่บัณฑิตทั้งหลายจะต้องมีจิตสำนึกของตนเองด้วย โดยเฉพาะกว่าจะสำเร็จการศึกษามา ทั้งผู้บริหาร ทั้งครูบาอาจารย์ และบุคลากรของวิทยาลัยสงฆ์ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีส่วนให้ท่านทั้งหลายสำเร็จการศึกษาทั้งสิ้น ภาษิตกะเหรี่ยงว่า "กินน้ำต้องไม่ลืมต้นน้ำ" ก็คือต้องเป็นบุคคลที่มีความกตัญญู รู้คุณที่คนอื่นทำแก่ตน และมีกตเวทิตา ก็คือต้องรู้จักตอบแทนความดีของคนอื่นด้วย

แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องทำโดยตรง เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่ก็คือนักบวช เป็นพระภิกษุสงฆ์ เป็นแม่ชี เป็นสามเณร เมื่อเรียนจบมา หน้าที่ของเราก็คือ ทำอย่างไรจะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญมั่นคง ก็แปลว่าสิ่งที่ใจคิด สิ่งที่ปากพูด สิ่งที่กายทำ จะต้องผ่านการตรึกตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว เหมือนกับที่ผู้รู้บางท่านให้แนวคิดไว้ว่า เราต้องคิดทุกอย่างที่จะพูด ไม่ใช่พูดทุกอย่างที่เราคิด

เถรี 09-12-2025 00:16

ดังนั้น..ถ้าหากว่าฐานะบัณฑิตในทางธรรม ก็ต้องเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอว่า เราทำอะไร เพื่ออะไร ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลาย ถ้าเรียนจบไปแล้วยิ่งอยู่ยากกว่าปกติ เพราะกลายเป็นบุคคลที่คนอื่นเขาสรรเสริญ ว่าเป็นผู้รู้ในเรื่องนั้น ๆ เราจะปล่อยให้ รัก โลภ โกรธ หลง ชักจูงเราเหมือนเดิมไม่ได้ เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นบัณฑิตในทางธรรม ก็คือผู้ที่รู้เท่าทันกิเลส หักห้ามใจตนเองไม่ทำตามกิเลส คือความต้องการเฉพาะตัว และพยายามที่จะลด ละ เลิก ในสิ่งที่ชักจูงเราไปในทางต่ำอยู่เสมอ

การเรียนจบทางโลกจึงไม่ใช่การเรียนจบแล้วจบเลย แต่ต้องนำเอาความรู้นั้นมาก่อประโยชน์ให้แก่ตนเอง และหน่วยงานมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะตกอยู่ในลักษณะของอลคัททูปมปริยัติ ก็คือการเรียนแบบจับงูข้างหาง มีสิทธิ์ที่จะโดนงูกัด บาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน..! เนื่องเพราะว่าถ้าเราเอาความรู้ไปทำสิ่งที่ชั่ว เราก็จะชั่วได้เนียนกว่าเดิม แต่ท้ายที่สุด ผลชั่วนั้นก็จะส่งผลให้เราเดือดร้อนในภายหลังจนได้..!

บัณฑิตที่แท้จริงจึงต้องเป็นบุคคลที่ละชั่วทำดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะการพยายามรักษากำลังใจของตนให้มั่นคง ไม่ไหลไปตามกระแสกิเลส

การฉลองปริญญาบัตรซึ่งเป็นการแสดงความยินดีกันแบบโลก ๆ ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ดีใจและชื่นใจชั่วครั้งชั่วคราว ภาระใหญ่หลวงที่รอเราอยู่ข้างหน้า ก็คือ ทำตนอย่างไรจึงจะสมกับความเป็นบัณฑิต เป็นเรื่องที่เราต้องมีสำนึก ต้องระลึกรู้อยู่เสมอ

โดยเฉพาะการเป็นนักบวช เราจะเว้นจากศีลไม่ได้เลย เพราะว่าศีลคือรากแก้วของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าต้นไม้ไม่มีรากก็อยู่ไม่ได้ บุคคลไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาส ถ้าปราศจากศีลก็เป็นคนหลักลอย ไม่มีสิ่งให้ยึดถือและปฏิบัติ โดยเฉพาะไม่มีสิ่งที่เราปฏิบัติแล้วยก กาย วาจา ใจ ของตนให้สูงขึ้นได้

ดังนั้น..จึงมีบาลีที่ว่า สีลํ โลเก อนุตฺตรํ ศีลเป็นเยี่ยมที่สุดในโลก เพราะว่าสามารถพัฒนา กาย วาจา ใจ ของปุถุชน ให้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นกัลยาณชน และท้ายที่สุดก็พัฒนาตนจนถึงอริยชน แล้วยังเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานอีกด้วย

เถรี 09-12-2025 00:20

ดังนั้น..ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะศึกษาในเรื่องของบาลี เรื่องของนักธรรม หรือว่าเรียนปริยัติสามัญ ปริญญาต่าง ๆ ก็ตาม เราจะลืมไม่ได้เลยว่าเราอยู่ในฐานะของนักบวช ศีล สมาธิ ปัญญา จึงเป็นเรื่องหลักที่เราจำต้องศึกษา อย่างอื่นเป็นเพียงส่วนประกอบที่เข้ามาเสริมเท่านั้น

ถ้าเราศึกษาดีในไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา แล้วมีความละอายชั่ว กลัวบาป ละในสิ่งที่ควรละ เว้นในสิ่งที่ควรเว้น ถ้าแบบนี้จึงสมควรที่จะเป็นนักบวช หรือว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้เรียนจบปริญญาเอกมากี่ใบ ถึงเวลาทำผิด เราก็โยนให้คนอื่น แทนที่จะพิจารณาว่าตนเองผิดพลาดอย่างไรแล้วแก้ไข ถ้าอย่างนั้น ท่านเรียนไปเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าเรียนแล้วไม่สามารถขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้นได้

หลายคนก็อยู่ในลักษณะแบบนี้ ก็คือวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำ สิ่งที่ตนเองพูด สิ่งที่ตนเองคิด ทำให้บุคคลอื่นเขารังเกียจขนาดไหน ?! ในเมื่อไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตนเองได้ อาศัยความรักตนเองในทางที่ผิด เกิดอะไรขึ้นก็โยนให้คนอื่น ไม่เคยมองว่าตนเองผิดเลย

ถ้าบุคคลประเภทนี้ภาษิตจีนเขาใช้คำว่า "ขุนเขาแมกไม้พอแก้ไข สันดานแท้ยากกลับกลาย" พูดง่าย ๆ ก็คือชินจนเป็นสันดานในด้านเลวไปแล้ว อยู่ที่ไหนก็มีแต่จะสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับคนอื่น

เราท่านทั้งหลายต้องระมัดระวัง อย่าทำตัวเป็นเม่น ต่อให้เม่นมีความรักความเมตตาสัตว์อื่น แต่ถ้าเบียดเข้าไปหาเมื่อไร ขนแหลมก็จะทิ่มแทงเขา ดังนั้น..ถ้าเรารู้จักรักตัวเอง ก็ต้องดูที่ตัว แก้ที่ตัว เราจะไปดูคนอื่นไม่ได้ เพราะเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลก โลกหนักเกินกว่าที่เราจะแบกไหว ดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง จบที่ตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่ควรทำที่สุด

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:17


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว