กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=169)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11363)

พิชวัฒน์ 06-12-2025 18:50

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๘



เถรี 07-12-2025 00:45

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ไม่ว่าจะเป็นพระใหม่ของเราก็ดี ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมก็ตาม ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า วันคืนล่วงไป ล่วงไป เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ หลายท่านครูบาอาจารย์มรณภาพไปแล้ว มรณภาพไปอีก แต่เราก็ไม่สามารถที่จะเอาดีได้ เนื่องเพราะว่าเป็นผู้ประมาทอยู่เสมอ ควรที่จะรู้สึกตัวได้แล้วว่า เราเป็นผู้ที่ใช้โอกาสเปลืองมาก..!

พระใหม่หลายรูปกว่าจะมาบวชที่วัดท่าขนุน ก็ตระเวนไปเสียทั่วประเทศไทยแล้ว..! บางแห่งก็รู้สึกว่าเคร่งครัดเกินไปสำหรับตัวเอง บางแห่งก็รู้สึกว่าหย่อนยาน ไม่ถูกใจตนเอง เหล่านี้เป็นต้น แต่พวกเราทุกคน ไม่ว่าจะพระหรือว่าฆราวาสก็ตาม เราต้องรู้ว่า
แต่ละสถานที่ แต่ละองค์กร มีวัฒนธรรมองค์กร หรือระเบียบของสถานที่ ซึ่งคอยควบคุมคนหมู่มากอยู่ เราจะมาทำตัวเป็น "ควายหลุดคอก" อยู่คนเดียวไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราไปที่ไหนก็เข้าสังคมกับเขาไม่ได้ เนื่องเพราะว่าเราประพฤติผิดในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าระเบียบก็ดี วินัยก็ดี ก็คือศีลนั่นเอง พระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ซึ่งถ้ากระจายออกก็คือมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นหนทางเดียวจะนำพาเราให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ ดังนั้น..ถ้าใครจะมาอ้างว่าไปวัดโน้นไม่เห็นมีระเบียบ ไปวัดนี้ไม่เห็นต้องสวดมนต์ ไปวัดนั้นไม่เห็นต้องบิณฑบาต มึงก็ไปอยู่ที่นั่นซะ..! เนื่องเพราะว่าระเบียบวินัยก็คือสิ่งที่ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของเราในเบื้องต้น ให้ควรแก่งาน ก็คือแนวปฏิบัติเบื้องสูงขึ้นไป ได้แก่สมาธิ แล้วต่อด้วยปัญญา

สำนักไหนที่บอกว่าไม่ได้บวชมาเพื่อสวดมนต์ก็ช่างหัวมัน..! พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าให้สาธยายมนต์ ก็คือสวดมนต์
เนื่องเพราะว่าบุคคลสามารถบรรลุมรรคผลในระหว่างสวดมนต์ได้ นี่เป็นหนึ่งในแนวทางบรรลุมรรคผลที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจนที่สุด

เพราะว่าขณะที่เราสวดมนต์ จิตจะเป็นสมาธิ ถ้าปัญญามีพอ พิจารณาไปก็จะเห็นความไม่เที่ยงในการสวดมนต์ ก็คือพอเราหยุด เสียงก็ขาดหายไป ความเป็นทุกข์ในการสวดมนต์ จะคุกเข่าก็ดี จะพับเพียบก็ตาม ย่อมปวด ย่อมเมื่อย สวดมนต์นาน ๆ ก็เหนื่อย และท้ายที่สุด ตัวเราที่เพียรพยายามทำความดีขนาดนี้ ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น เราจึงควรที่จะตั้งเป้าว่าจะต้องหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็คือเข้าสู่พระนิพพานให้ได้

เถรี 07-12-2025 01:01

ปัจจุบันนี้มีหลายต่อหลายสำนักที่เก่งเกินพระพุทธเจ้า..! เราต้องยกให้กับท่าน อย่าไปยุ่งกับท่านเลย ในเมื่อพระพุทธเจ้ากำหนดแนวทางที่พระองค์ท่านเห็นว่าเหมาะสมที่สุด และเป็นแนวทางเดียวที่จะนำพาให้เราหลุดพ้นได้ แต่เรากลับไปฟังพระบ้าง แม่ชีบ้าง ฆราวาสบ้าง สอนว่าอย่างโน้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ตกนรก ทำอย่างนั้นก็โง่ แสดงว่าไอ้คนสอนกำลังด่าพระพุทธเจ้าอยู่..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าท่านมีสติปัญญาพอ พิจารณาดูแล้วก็รู้แล้วว่าสำนักนั้น "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" คำว่า "ใช่" ในที่นี้ ก็คือสอนได้ถูกต้องตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าแต่ละรูป แต่ละท่าน ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ "อัตโนมติ" ของตน

อย่างเช่นมีสำนักหนึ่งที่อวดว่าตนเองเคร่งครัดในการปฏิบัติมาก เดินทางไปไหนไม่ใส่รองเท้า ใครถวายปัจจัยไม่รับ ตัวเจ้าสำนักท่านอ้างว่า ท่านบรรลุธรรมในขณะกำลังปัสสาวะ..! ก็คือกำลังปล่อยเบาอยู่ รู้สึกว่าโลกนี้สว่างไปทั้งหมด แล้วท่านมั่นใจว่าตนเองบรรลุแล้ว จึงสอนลูกศิษย์ผิด ๆ ถึงขนาดไม่เอาหลัก ไม่เอาเกณฑ์ บวชให้ลูกศิษย์ด้วยตนเอง ไม่ได้สนใจว่าตนเองได้ผ่านการอบรมพระอุปัชฌาย์มาหรือเปล่า..!?

ถ้าท่านที่ศึกษาข้อธรรมมาบ้างก็จะรู้ ว่านั่นเป็นแค่อุปกิเลส ก็คือโอภาสเท่านั้นเอง คำว่าอุปกิเลสจริง ๆ เกิดขึ้นแล้วไม่เป็นกิเลส คำว่า อุป (อุ-ปะ) แปลว่า ใกล้ชิด ใกล้จะเป็นกิเลส แต่ถ้าจัดการผิดเมื่อไร จะเป็นกิเลสทันที ก็คือเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าดีแล้ว ใช่แล้ว เหล่านั้นเป็นต้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ทันจะก้าวขึ้นอนุบาล ๑ แต่ไปมั่นใจว่าจบปริญญาเอกแล้ว..!

ท่านทั้งหลายไปศึกษาเอาเองว่าอุปกิเลสมีอะไรบ้าง ไล่ไปตั้งแต่หยาบถึงละเอียด อย่างเช่นว่าโอภาส เกิดแสงสว่างขึ้น ปีติ มีอาการซาบซ่านอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ อย่าง

ปัสสัทธิ เกิดความสงบระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ดับลงชั่วคราว เหล่านี้เป็นต้น

ไปจนถึงนิกันติ ความอยากได้ใคร่มีแทบจะไม่ปรากฏเลย แล้วก็
หลงว่าเป็นการบรรลุมรรคผล ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่กำลังสมาธิเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลายเท่านั้น..!

เถรี 07-12-2025 01:16

กระผม/อาตมภาพมีลูกศิษย์อยู่คู่หนึ่ง ต้องบอกว่าเป็นคู่หูนักปฏิบัติธรรมที่ดีมาก เพียงแต่ว่าเกิดผิดเพศไปหน่อย ก็คือคนหนึ่งเป็นผู้หญิง คนหนึ่งเป็นผู้ชายพอดี เจ้าสองตัวนี้ไปปฏิบัติธรรมกับกระผม/อาตมภาพที่เกาะพระฤๅษี แล้ววันหนึ่งเขาก็มาบอกว่า "ที่หลวงพ่อเคยพูดว่าบรรลุอรหันต์แล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ไม่เห็นพวกผมจะตายเลย พวกผมเป็นมาตั้งหลายเดือนแล้ว..!"

นั่นคือลักษณะของบุคคลที่เข้าใจผิด พอสมาธิทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง โดนกดดับไปชั่วคราว จิตใจผ่องใส ปราศจากกิเลส จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ก็รู้เท่าทันไปหมด จึงคิดว่าบรรลุแล้ว และเจ้าสองคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่เป็นแบบนี้..!

แม้กระทั่งสมัยพุทธกาลก็มีครูบาอาจารย์ใหญ่ มั่นใจว่าตนเองบรรลุมรรคผลแล้ว แต่ปรากฏว่าไปได้ดีเพราะลูกศิษย์ ฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ที่พูดตามพระไตรปิฎก แล้วท่านปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลประเภทปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่าอาจารย์ของตนเองยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่อาศัยโลกียฌานที่ตนเองฝึกฝนปฏิบัติแบบหัวไม่วาง หางไม่เว้น ทำให้จิตสงบระงับจากกิเลส เลยหลงเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ แล้วท่านเป็นอภิญญา ๕ ด้วย

ลูกศิษย์จึงไปหลอกถามอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์มีความสามารถแบบนี้ กระผมอยากจะเห็นช้างตกมัน เพราะตั้งแต่เกิดมา แม้แต่ช้างจริง ๆ ก็ไม่เคยเห็น ท่านอาจารย์สามารถนิรมิตเป็นช้างตกมัน วิ่งมาตรงหน้าให้กระผมเห็นได้ไหมครับ ?" ท่านอาจารย์ก็บอกว่า "เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง" ว่าแล้วก็อาศัยความชำนาญในอภิญญาของตน นิรมิตพญาช้างสารตกมัน ส่งเสียงร้องวิ่งเหมือนแผ่นดินจะถล่มตรงเข้ามาหา..!

ลูกศิษย์เฉย ๆ เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่กลัวตาย แต่อาจารย์เสียท่า ขยับจะวิ่งหนี ลูกศิษย์ต้องคว้าแขนเอาไว้ บอกว่า "ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ไม่กลัวตายแล้วนะครับ..!" เท่านั้นเอง ท่านอาจารย์ก็กระจ่างแจ้งแล้วว่า ที่ผ่านมาตนเองไม่ใช่พระอรหันต์ จึงขอให้ลูกศิษย์ช่วยสอนด้วยว่า การตัดกิเลสที่แท้จริงเป็นอย่างไร นั่นต้องบอกว่าได้ดีเพราะลูกศิษย์..!

แต่ว่าลูกศิษย์ของกระผม/อาตมภาพไม่ได้อย่างนั้น โดนมารหลอกหนักเข้าไปอีก ก็คือมีนิมิตปรากฏว่าทั้งสองคนเป็นบุคคลผู้วิเศษขนาดนี้แล้ว ก็ควรจะช่วยเหลือประคับประคองโลกให้ด้วย ขอให้ทั้งสองแต่งงานกัน แล้วผลิต X-Men ออกมาให้สักฝูงหนึ่ง ก็คือผลิตมนุษย์พันธุ์พิเศษออกมา จะได้ช่วยเหลือโลกและค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้มากกว่านี้ ทั้งสองคนก็เชื่อ ตอนนี้ก็เลยเลี้ยงลูกอยู่ ๕ คน..! กระผม/อาตมภาพก็คิดว่า "มึงบ้า..พระอรหันต์ที่ไหนวะยังมีเมียมีลูกได้..!?" แสดงว่าหันแบบของเขา ไม่ใช่หันแบบของพระพุทธเจ้า..!

เถรี 07-12-2025 01:20

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายที่ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด หรือวัดวาอารามใดก็ตาม ที่จำเป็นต้องกำหนดให้มีระเบียบวินัยต่าง ๆ ไม่ว่าการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ก็คือการที่กำหนดแนวทางปฏิบัติธรรมให้แก่พวกเรานั่นเอง เพราะว่าการปฏิบัติตามก็คือการปฏิบัติในศีล คือรักษาระเบียบ รักษาวินัย การระมัดระวัง รักษาระเบียบ รักษาวินัย สมาธิย่อมเกิดขึ้น ถึงเวลาเราจะภาวนา อารมณ์ใจก็ทรงตัวได้ง่าย

โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า

บุคคลจะบรรลุมรรคผลได้ก็เพราะ

๑) ฟังธรรม

๒) สวดสาธยายธรรม

๓) พิจารณาธรรม

คำว่าสวดสาธยายธรรม ก็คือสวดมนต์นั่นเอง เนื่องเพราะว่าถ้าเราทำเป็นในเบื้องต้น จะเกิดสมาธิขึ้นมาได้ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว เราจะสวดผิด

ประการที่สอง ถ้ามีความสามารถมากขึ้น ให้ใช้คำสวดมนต์แทนคำภาวนา เราจะสามารถทรงฌานได้ในขณะสวดมนต์ ใครที่บอกว่าทรงฌานแล้วนั่งเป็นตอไม้ ทำให้เกิดโกสัชชะ คือความขี้เกียจ นั่นช่างหัวมัน..! เพราะว่าเราสวดแล้วสามารถทรงสมาธิระดับสูงได้

ลำดับต่อไปก็คือถ้าหากว่าท่านทั้งหลายฝึกมาสายมโนมยิทธิ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดมนต์ถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ใจของเราไปอยู่ตรงนั้นบ่อย ๆ สภาพจิตจะมีการกำหนดจดจำ ถ้าหากว่าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ตาม เราจะไปอยู่ตรงนั้นเลย

เถรี 07-12-2025 01:27

หรือไม่ก็สภาพจิตของท่านทั้งหลายยังไม่ละเอียดพอ พระนิพพานมีสภาพละเอียดมาก เราจะเกาะไม่ติด ท่านที่ฝึกมาสายนี้จะรู้ บางทีเพิ่งจะเห็นพระนิพพานเท่านั้น หล่นลงมาตอนไหนก็ไม่รู้ ?! แต่ถ้าท่านสวดมนต์ได้ ให้ตั้งใจว่าเราจะสวดมนต์ถวายพระพุทธเจ้าที่นี่ ในเมื่อจิตมีงานทำ ก็จะกำหนดจดจ่ออยู่กับงานตรงนั้น ท่านสวดมนต์ได้ยาวนานเท่าไร ก็อยู่บนพระนิพพานได้นานเท่านั้น ก็แปลว่าซักซ้อมให้กำลังใจของเราเคยชินกับสภาพหมดกิเลส สามารถรักษาอารมณ์ได้ยาวนานเท่าไร เราก็จะมีความสุขมากเท่านั้น

ลำดับต่อไป
ถ้าท่านสวดมนต์แล้วแปลได้ ก็นำสิ่งที่สวด ซึ่งก็คือคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพินิจพิจารณา ส่วนไหนละได้ ให้ตั้งใจว่าเราละ ส่วนไหนเว้นได้ ให้ตั้งใจว่าเราจะเว้น ถ้าสามารถตัดใจได้จริง ๆ ท่านก็จะเข้าถึงมรรคเข้าถึงผลได้ จากการฟังธรรม จากการสาธยายธรรม จากการพิจารณาธรรม เหล่านี้เป็นต้น

สมัยนี้คนเก่งมีมาก แต่หาคนเก่งจริงได้ยาก ส่วนใหญ่ดีแต่ตีโวหารเถียงกัน เอาชนะคะคานผู้อื่นเท่านั้น และมักจะใช้อัตโนมติ คือความคิดเห็นส่วนตนแทรกเข้าไป กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป เก่งเกินพระพุทธเจ้า เราก็ยกให้เขาไป อย่าไปยุ่งกับเขาเลย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:00


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว