กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=168)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11350)

ตัวเล็ก 30-11-2025 19:44

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘



เถรี 01-12-2025 00:26

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ สิ้นเดือนอีกแล้ว วันเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ถ้าหากว่าผู้ไม่ประมาท ก็ย่อมต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า "เราทำอะไรอยู่ ? สิ่งที่เราทำนั้นยังตรงกับเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรกหรือไม่ ? ทำไปแล้วมากน้อยเท่าไร ? ยังห่างจากเป้าหมายใกล้ไกลอีกเท่าไร ? ต้องใช้ความเพียรพยายามอีกมากแค่ไหน ?"

โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม เราท่านทั้งหลายโดน รัก โลภ โกรธ หลง กระหน่ำตีอยู่ทุกวัน หลายท่านก็สติน้อย ปัญญาน้อย ไม่รู้ตัวว่าโดนกิเลสชักจูงหรือว่าเล่นงานอยู่ทุกวัน ซ้ำยังไปคล้อยตามกิเลสอีกต่างหาก แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนให้ดีขึ้น กลับไปตามใจกิเลส ต้องกินให้ได้อย่างใจ ต้องนอนให้ได้อย่างใจ..!

ถ้าลักษณะนั้น "หลวงตามหาบัว" ท่านเคยเปรียบว่า
"เหมือนกับหมูนอนพาดเขียง" เดินมาเห็นเขียงวางอยู่ก็นอนหนุน รู้สึกว่าสบายดี โดยที่ไม่รู้ว่าจะโดนเชือดเมื่อไร ?!! หรือที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เราเหมือนกับอยู่บนเรือนที่ไฟไหม้ จะเร่งหนีไปจากเรือนนั้น หรือว่าจะนอนรอให้ไฟไหม้มาถึงตัวก่อน ?!!"

จะว่าไปแล้ว ถ้าหากเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม อย่างน้อย ๆ เราจะต้องมั่นคงต่อเป้าหมาย และเพียรพยายามไปให้ถึงที่สุด ถ้าทุกท่านสังเกตย้อนหลังไป
บางคนครูบาอาจารย์มรณภาพไปแล้วหลายรูป ตนเองก็ยังเอาดีอะไรไม่ได้เลย..! เนื่องเพราะว่าตอนที่ท่านอยู่ ก็ไม่เร่งรัดขวนขวายสิ่งหนึ่งประการใดเพื่อตนเอง เมื่อถึงเวลาขาดที่พึ่ง ก็ต้องตะเกียกตะกายหาที่พึ่งใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่เคยเข็ด ไม่เคยจำ..!

เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของพวกเราเอง ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายตั้งใจได้ถูกต้อง และพากเพียรได้ถูกต้อง นอกจากสามัญสำนึกที่ต้องการเอาดีของตนเอง

ในแต่ละวัน สิ่งที่เราควรทำที่สุดก็คือพิจารณาว่า กาย วาจา ใจ ของเรานั้น เป็นไปเพราะ รัก โลภ โกรธ หลง หรือว่าเป็นไปตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ? สิ่งใดที่ผิดพลาดก็เร่งแก้ไข สิ่งใดที่ยังทำไม่ได้ก็พากเพียรทำให้ได้ พูดง่าย ๆ ว่า "ละชั่ว..ทำดี" ไปเรื่อย จนกว่ากำลังของเราจะเหนือกิเลส ทำให้กิเลสชักจูงเราได้น้อย และท้ายที่สุด กิเลสก็ชักจูงเราไม่ได้อีก ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ทุกคนจะต้องเร่งไปให้ถึง

เถรี 01-12-2025 00:37

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต่าง ๆ ที่บางคนหวัง ก็เป็นสิ่งที่แปรปรวนได้ง่าย

อย่างที่หลายท่านก็เห็นแล้วว่า แม้แต่การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมที่ผ่านมา พระเถระผู้ใหญ่ระดับนั้น ยังต้องหลุดพ้นจากตำแหน่งไปหลายต่อหลายรูป เราไม่ไปพูดถึงว่าท่านหลุดจากตำแหน่งเพราะอะไร แต่อยากจะให้เห็นชัดว่า
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน

ในเมื่อพระผู้ใหญ่ระดับนั้นยังตกอยู่ภายใต้โลกธรรม มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ ได้รับคำสรรเสริญ โดนนินทา มีความสุข ได้รับความทุกข์ ซึ่งภาษาบาลีท่านใช้คำว่าโลกธรรม ก็คือ
สิ่งที่เป็นธรรมดาในโลกนี้ แล้วท่านก็อาจจะเห็นว่าสิ่งที่ตนเองตั้งเป้าเอาไว้นั้น ความจริงแล้วผิดพลาด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน สิ่งที่เที่ยงแท้อย่างยิ่ง ก็คือหลักธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งย่อแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง

ในเมื่อวันเวลาล่วงเลยไปเร็วขนาดนี้ เราต้องนึกว่าวัฏสงสารที่ยาวไกลจนหาต้นหาปลายไม่เจอนั้น ถ้าเราไม่เร่งรัดรีบเดิน เราก็จะตกอยู่ในกองทุกข์ที่แผดเผาเร่าร้อนเช่นนี้ไปชาติแล้วชาติเล่า นับชาติไม่ถ้วน แต่ถ้าหากว่าท่านเพียรพยายามเดินไม่หยุด ต่อให้ไปไม่ถึงสุดทาง แต่หนทางข้างหน้าก็จะเหลือน้อยลง เหลือสั้นลง แล้วหนทางนี้ยิ่งเดินก็ยิ่งง่ายขึ้น ลำบากแต่ช่วงแรกที่เราต้องเพียรพยายามต่อสู้กับกิเลสเท่านั้น

เมื่อกำลังใจของเราเข้มแข็งเพียงพอ สติ สมาธิ ปัญญา สั่งสมได้เพียงพอ ด้วยอำนาจของศีล ของสมาธิ ของปัญญา กิเลสก็จะชักจูงเราได้น้อย สมาธิของเราที่แก้กล้า ทำให้สติมีความแหลมคม ว่องไว มองเห็นตลอดไปถึงว่า ถ้าคิดอย่างนี้ ถ้าพูดอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ จะเกิดผลดีอย่างไร จะเกิดผลเสียอย่างไร แล้วด้วยปัญญาที่สร้างสมเอาไว้ ตลอดจนกระทั่งกำลังสมาธิที่หนุนเสริม ก็จะทำให้เราเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง ก็คือเว้นในสิ่งที่ทำให้เราผิดพลาด ไหลตามกระแสกิเลส มากระทำในสิ่งที่คนอื่นอาจจะเห็นว่ายาก แต่ไม่เกินความสามารถที่เราท่านทั้งหลายจะทำได้และไปถึง

จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่ควรประมาท เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เราไม่รู้ว่านอนลงไปแล้วจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือเปล่า เพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพหลายคน นอนลงแล้วก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเรายังประมาทอยู่ สภาพจิตเกาะความดีไม่มั่นคง ถึงเวลาก็มีโอกาสที่จะลงอบายภูมิสูงมาก แต่ถึงสมาธิจิตของเรามั่นคง ก็ยังประกันไม่ได้ว่า ในส่วนของชาติภพต่อไปของเราจะเป็นอย่างไร เนื่องเพราะว่ายังมีอาสันนกรรม คือกรรมก่อนตายที่จะคอยมาชักจูงเราอีก

เถรี 01-12-2025 00:45

ตัวอย่างก็เช่นนางมัลลิกาเทวี สร้างความดีมามากมายมหาศาล เป็นผู้นำในการถวายอสทิสทาน ก็คือทานที่ถวายต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ ที่ไม่มีใครสามารถทำเทียบได้ถึง แต่ก่อนจะสวรรคตนึกถึงกรรมเก่าของตนเอง สร้างความดีมาขนาดนั้นยังต้องไปลงอเวจีมหานรกอยู่ ๗ วัน แล้วท่านอย่าไปคิดว่า ๗ วันเป็นระยะเวลาเพียงเล็กน้อย ตัวเราโดนไฟจี้แค่นิดเดียวก็ยังเจ็บยังปวด แล้วบุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ ๗ วัน รสชาติชีวิตเป็นอย่างไร น่าจะพอคิดถึงได้..!

นั่นก็คืออาสันนกรรมก่อนตาย ที่ยังคอยมาตัดรอนพวกเรา เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ากำลังใจเกาะความดีอยู่ ก็ยังทำให้กำลังใจเบี่ยงเบนไปเกาะสิ่งที่ไม่ดี แล้วลงอบายภูมิไปชั่วคราว ก่อนที่ความดีทั้งหมดที่ทำมาจะส่งผล ให้ขึ้นไปเสวยสุคติ เรื่องพวกนี้เราเองทำมาไม่มากเท่ากับท่าน แล้วเรายังประมาทอยู่ โอกาสที่เราจะพลาดลงอบายภูมิจึงมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!

ทุกท่านต้องรู้จักกลัว รู้จักเห็นภัย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ สร้างความทุกข์ยากเร่าร้อนให้กับเราตลอดเวลา เหมือนกับเดินลุยอยู่ในกองไฟ มีแต่จะโดนแผดเผา เจ็บแสบ เร่าร้อนอยู่ตลอด แต่พวกเรากลับปัญญาน้อย คิดไม่ถึง มองไม่เห็น

เรื่องอันตรายที่อยู่รอบตัว ไม่รู้ว่าเราจะตายลงไปเมื่อไร แล้วก็ยังประมาท ไม่เร่งรัดกระทำความดีอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่เป็นพระภิกษุสามเณรยิ่งหนัก เนื่องเพราะว่าเราเป็นปูชนียบุคคล ที่ชาวบ้านเขาให้การเคารพนับถือ ถ้าคุณงามความดีของเราไม่เพียงพอที่จะรองรับ ก็ให้ทุกท่านมั่นใจได้เลยว่า เราต้องมีอบายภูมิเป็นที่ไปอย่างแน่นอน จึงควรที่จะทำกำลังใจเหมือนกับนักโทษที่ติดคุก ทนลำบากเดือดร้อนมาจนป่านนี้ ชาติแล้วชาติเล่า ไม่พ้นเสียที ต้องตั้งหน้าตั้งตาแหกคุกกันแล้ว..!

วิธีการก็ชัดเจนที่สุด คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เท่านั้น หนทางอื่นนั้นไม่ใช่ เมื่อให้ทานแล้วต้องเพียรพยายามรักษาศีล มีทานมีศีลแล้ว ต้องสร้างสมาธิให้เกิด เมื่อสมาธิเกิดแล้ว ต้องทำให้เป็นอัปปนาสมาธิสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้อาศัยปัญญาและกำลังสมาธิ ในการตัดกิเลสต่าง ๆ ที่ร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสาร ให้ขาด ให้สิ้น หรือว่าลดน้อยลง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงพอที่จะเป็นเครื่องประกันได้ว่าเราจะรอดจากอบายภูมิได้บ้าง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:24


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว