![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ |
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระแสชื่นชมในสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะองค์สมเด็จฯ พระบรมราชินี ยังกระหึ่มไปทั้งโซเชียล จนกระผม/อาตมภาพมั่นใจว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีของเรา น่าจะตกได้ "ด้อม" ชาวจีนไม่ต่ำกว่า "น้องลิซ่า" ดีไม่ดีอาจจะแซงหน้าไปแล้วก็ได้..!
ส่วนท่านที่เมื่อวานบอกว่า "หลวงพ่อช่วยบอกพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ นั้นใหม่อีกที ฟังแล้วไม่ต่อเนื่อง" มันน่าฆ่าให้ตาย..! ถ้าอย่างนั้นก็บอกต่อเนื่องรวดเดียว ฟังแล้วรู้จักจดจำกันบ้าง โบราณเขาบอกไว้แล้วว่า ของกินถ้าไม่กินก็เน่า เรื่องเล่าถ้าไม่เล่าก็ลืม บางสิ่งบางอย่างที่บอกกับพวกเรานั้น เป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพอ่านมาตั้งแต่เรียนหนังสือชั้นประถมปีที่ ๒ อย่างที่บอกกับพวกเราว่า ถ้าสมาธิดี อ่านอะไรก็ไม่ค่อยจะลืม พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ ๖ ซึ่งกล่าวไว้เมื่อวานนี้ มีใจความว่า "เมืองใดไม่มีทหารหาญ เมืองนั้นไม่นานเป็นข้า เมืองใดไร้จอมพารา เมืองนั้นไม่ช้าอับจน เมืองใดไม่มีพาณิชย์เลิศ เมืองนั้นย่อมเกิดขัดสน เมืองใดไร้ศิลป์โสภณ เมืองนั้นไม่พ้นเสื่อมทราม เมืองใดไม่มีกวีแก้ว เมืองนั้นไม่แคล้วคนหยาม เมืองใดไร้นารีงาม เมืองนั้นหมดความภูมิใจ เมืองใดไม่มีดนตรีเลิศ เมืองนั้นไม่เพริศพิสมัย เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่เอย" |
เมื่อวานนี้ขาดอยู่สองบรรทัดสุดท้าย ในเรื่องของดนตรีไทยเราในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีของเหนือ อีสาน กลาง ใต้ ออกไปแสดงทีไร ชาวต่างชาติติดใจทุกที พวกเราน่าจะเคยได้ยินเสียงเป่าแคน ที่นักแสดงของเราไปแสดงทางทวีปยุโรป แล้วฝรั่งออกมาเต้นตามกันหมดทั้งจตุรัสเลย นั่นก็คือเรื่องของดนตรีกาล ซึ่งสุนทรภู่ก็กล่าวเอาไว้แล้วว่า "ใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์" ก็คือเหมือนกับดวงแก้วที่มีค่าควรเมือง
หรือไม่ก็ที่เขากล่าวว่า "ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์ ฤๅอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรีฯ" ไปหาอ่านเอาเอง เดี๋ยวจบทั้งเรื่อง..! The Merchant of Venice คนไทยแปลว่า เวนิสวาณิช ก็คือพ่อค้าแห่งเมืองเวนิส เจ้าที่ของเมืองเวนิสท่านบอกว่า "นานไปอาจจะไม่เหลือเมืองไว้ เพราะว่าน้ำจะท่วมหมด" ไม่รู้เหมือนกันว่าท่วมไปถึงไหนแล้ว เพราะกระผม/อาตมภาพก็ไปมาหลายปีเต็มทีแล้ว คราวนี้วันนี้ที่ญาติโยมส่วนหนึ่งโทรเข้ามาหาวัตถุมงคลของหลวงปู่ศิลา (พระราชวัชรธรรมโสภณ วิ.) กับทางวัดท่าขนุน นั่นเป็นความเข้าใจผิดของญาติโยมทั้งหลาย เป็นพระคุณที่หลวงปู่ท่านเมตตากล่าวถึงหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนเอาไว้ แต่ถ้าจะบูชาวัตถุมงคล ที่วัดท่าขนุนก็มีแต่ของวัดท่าขนุน อยากได้ของหลวงปู่ศิลา ไปบูชาที่วัดพระธาตุหมื่นหินโน่น..! พอได้ยินท่านกล่าวถึงหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ดันจะเอาวัตถุมงคลของหลวงปู่ศิลาที่วัดท่าขนุน ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดดีเหมือนกัน..! |
พวกเราส่วนใหญ่แล้ว "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด" เหมือนที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกว่าจะสร้างวัตถุมงคลรุ่นนั้น คนก็โทรมาขอบูชาเดี๋ยวนั้นเลย แล้วกูจะเอาที่ไหนให้มึง ? ยังอยู่ในลักษณะ "จะสร้าง" อยู่เลย เป็นอดีตใกล้ปัจจุบัน เลี้ยวไปหาบาลีอีกแล้ว ดังนั้น..เรื่องพวกนี้บางทีก็เป็นอะไรที่ขำไม่ออกเหมือนกัน ญาติโยมโวยวายจะเอาให้ได้ บอกว่า "หลวงปู่พูดถึง" ตูจะบ้า..!
ในช่วงนี้อากาศแปรเปลี่ยนรุนแรงอยู่ พวกเราระมัดระวังเอาไว้ให้ดี โดยเฉพาะคนแก่วัดเราที่มีอยู่ ยังดีที่ตอนนี้แก่ถนัดที่สุดก็หลวงตาอ่อง (พระอ่อง ทีฆายุโก) ของเรา..ใช่ไหม ? แต่ว่าหลวงตาอ่องท่านยังแข็งแรง พยายามเดินอยู่ทุกวัน ขณะที่พวกเราเองบางทียังก็ "นอนแถกเหงือก" อยู่ หลวงตาอ่องเดินรอบวัดไปแล้ว..! กระผม/อาตมภาพยังคิดอยู่เลยว่าถ้าอายุ ๘๐ กว่าจะ ๙๐ ปีแบบหลวงตาอ่อง แล้วเดินรอบวัดได้ก็น่าจะพอใจแล้ว เนื่องเพราะไม่มั่นใจในสุขภาพของตนเองอย่างหนึ่ง ไม่มั่นใจเกี่ยวกับเศษกรรมเก่าที่จะมาถึงอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงใกล้วันเกิด ช่วงก่อน ๑ เดือน หลัง ๑ เดือน ต้องระมัดระวังไว้บ้าง ถ้าเป็นไปได้ก็ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่าล่วงหน้าไปเลย มีอะไรจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ปกติแล้วก็หมดอายุ แต่ปรากฏว่าปีนั้นอยู่ที่หลวงพระบาง ประเทศลาวกระมัง ? ไปเดินตลาดเช้า "เจ้าลุง" ซึ่งเป็นเจ้าที่ชี้ให้ดู ญาติโยมเอาปลามาขาย เป็นปลาเล็กปลาน้อย ตัวนิดตัวหน่อย เป็นถุงอยู่ ก็ถามเขาว่าขายอย่างไร ? เขาบอกว่า "สิบพัน" คนลาวเขาไม่เรียกหมื่น เขาเรียกสิบพัน ในเมื่อสิบพันก็ตั้งใจซื้อแล้วจะเอาไปปล่อย ถามใครก็ไม่บอกว่าท่าน้ำอยู่ทางไหน ? ก็เลยต้องถามผีต่อไป แล้วก็เดินไปปล่อย นั่นขนาดปล่อยชีวิตสัตว์ไปหลายสิบชีวิตแล้วนะ พอถึงเวลาจะขึ้นเรือที่วิ่งกลับจากถ้ำติ่งมาที่วัดเชียงทอง ยืนอยู่หัวเรือแท้ ๆ พอหัวเรือกระแทกท่าเรือ ตัวก็ปลิวกระเด็นลงไปข้างล่าง คางฟาดพื้น เลือดท่วมไปเหมือนกัน แต่ก็ยังไปเที่ยวต่อหน้าตาเฉย ครั้งนั้นถือว่าฟาดเคราะห์จริง ๆ เพราะว่าโอกาสตายมีสูงมาก วาระกรรมที่สร้างเอาไว้หนักสมัยรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ เขาตามมาทวง แต่ก็รอดมาได้ เพราะว่าปล่อยปลาไปก่อน..! คราวนี้ถ้าหากว่าพวกเราไม่ได้ทำอะไร ในลักษณะของการตัดเคราะห์ตัดกรรมของตนเองแบบนี้ บางทีช่วงใกล้วันเกิดก็จะมีเรื่องเลือดตกยางออก หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ขึ้นมาได้ สิ่งที่ลืมไม่ได้เลย อันดับแรกก็คือ ตื่นขึ้นมาต้องภาวนาไว้ก่อน รักษากำลังใจของเราให้ดี |
ถ้ากำลังใจของเราดี อันดับแรกก็คุ้มครองรักษาตัวเองได้ ถ้ากำลังใจเข้มแข็งสูงมาก ก็เผื่อแผ่แก่หมู่คณะได้
อันดับต่อไปเลย ถ้าหากว่ามีโอกาสก็ปล่อยชีวิตสัตว์อย่างที่ว่า ตัวกระผม/อาตมภาพจริง ๆ แล้วหมดอายุตั้งแต่ ๒๗ ปี เพียงแต่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาช่วยเตือนว่า "แกเป็นทหารมาทุกชาติ เข่นฆ่าเขาเอาไว้มาก เศษกรรมปาณาติบาตตามมาจะทำให้ป่วยบ่อย ให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า ประเภทปลาหน้าเขียงสักเดือนละตัวสองตัว จะได้ผ่อนกรรมตรงนี้ลงไปได้" ปรากฏว่าพอไปถึงตลาด จะซื้อแค่ตัวสองตัวก็ใช่ที่ เพราะว่าว่าเห็นตาปริบ ๆ อยู่ทั้งกะละมัง หรือทั้งตลาด..! ส่วนใหญ่ก็มักจะเหมาหมด เอามาปล่อยจนกลายเป็นวังมัจฉาที่วัดท่าซุง ปล่อยอยู่ต่อเนื่อง ๓๐ ปีเต็ม ๆ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยถึงได้ลดลง แล้วก็เจอหมอเจอยาที่เหมาะแก่ตัวเองบ้าง นั่นขนาดทำอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน แสดงว่าเวรกรรมที่ทำไว้ในอดีตนั้น หนักหนาสาหัสมาก..! ทุกวันนี้ท่านก็จะเห็นว่าพออากาศเปลี่ยน กระผม/อาตมภาพก็ไข้จับไว้ก่อน สองสามวันที่ผ่านมาไม่ได้ฉันเช้าร่วมด้วย เพราะว่าพอบิณฑบาตกลับมา ก็แทบจะไม่เหลือแรงเอาไว้เดินถึงกุฏิแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พวกเราไม่ควรที่จะประมาท เพราะว่าวัฏสงสารนี้ สิ่งที่เที่ยงแท้คือความตาย แต่ไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน ?!! ดังนั้น..ถ้าหากว่าตายแล้วไปดี ก็ถือว่าพอจะเท่าทุนหรือมีกำไรบ้าง ถ้าตายแล้วไปไม่ดีก็ขาดทุน ถ้าสร้างเวรสร้างกรรมเก่าเอาไว้เยอะ ถึงเวลากว่าจะหลุดขึ้นมาสู่ภพภูมิที่ดีได้ บางทีพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ไปแล้วหลายพระองค์แล้ว เรื่องวาระกรรมหรือกฎของกรรมเป็นเรื่องที่เที่ยงแท้แน่นอนเสมอ ใครทำคนนั้นรับ แล้วไม่ช้าก็เร็วต้องรับแน่นอน ใครประมาท..ถึงเวลาดีแล้วมัวแต่เพลิดเพลินอยู่ ถ้าสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาอาจจะตั้งหลักไม่ทัน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:07 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.