![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ |
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ถ้าหากว่ามีเสียงฟ้าเสียงฝนรบกวนเข้ามาในบันทึกเสียงครั้งนี้ ก็ต้องขออภัยกับทุกท่านด้วย
วันนี้กระผม/อาตมภาพไปปฏิบัติหน้าที่ในสนามสอบนักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก (สนามหลวง) ประจำปี ๒๕๖๘ ที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) เป็นวันสุดท้าย โดยมีพระเดชพระคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ (หลวงพ่อเจ้าคุณทอมสันต์) รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านเป็นประธานในพิธีเปิดการสอบวันสุดท้ายนี้ ในส่วนของโอวาทที่ท่านกล่าวถึงนั้น สะดุดหูกระผม/อาตมภาพอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า "สมัยนี้เราจะหาพระภิกษุสามเณรที่บวชเข้ามา ชนิดมอบกายถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา ยากเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่อยู่มาจนสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอก แปลว่าเป็นผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะวันนี้เป็นการสอบวิชาพระวินัยบัญญัติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับศีลพระ ก็คือในส่วนของนักธรรมชั้นโทเป็นอภิสมาจาร คือศีลที่มานอกพระปาฏิโมกข์ และในส่วนของนักธรรมชั้นเอกนั้นจะเป็นในเรื่องของสีมา ตลอดจนกระทั่งสมบัติ วิบัติ ของกุลบุตรที่จะเข้ามาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ขอให้ทุกคนตั้งใจศึกษาและสอบให้ดี เพราะว่าเมื่อเรียนรู้แล้ว เราสามารถติดตัวไปใช้ได้ตลอดชีวิตของการเป็นนักบวช ถ้าหากว่าสามารถรักษาพระวินัยเอาไว้ได้ ต่อให้ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็เป็นสมมติสงฆ์ที่ดีงาม ช่วยกันประคับประคองค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้" ในส่วนนี้ญาติโยมทั้งหลายจะเห็นว่า ศีลพระไม่ได้มีแค่ ๒๒๗ ข้อ หากแต่มีศีลนอกพระปาฏิโมกข์มาอีกจำนวนมาก ที่เรียกว่าอภิสมาจาริยสิกขา ศีลในพระปาฏิโมกข์นั้น ท่านเรียกอาทิพรหมจริยาสิกขา ดังนั้น..สำนักไหนที่บอกว่าศีลพระมีแค่ ๑๕๐ ข้อ ก็ขอให้ญาติโยมทราบว่า ไม่น่าจะเป็นสำนักในพระพุทธศาสนาของเรา..! แต่ตรงนี้จักไม่ขอกล่าวถึง เมื่อพิธีเปิดเรียบร้อย ก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการคุมห้องสอบจะดูแล กระผม/อาตมภาพจึงขอตัวเดินทางเข้าสู่ที่พัก ระหว่างนั้นก็ตรวจดูงานในกลุ่มไลน์และในเฟซบุ๊ก ซึ่งมีผู้ส่งเข้ามาให้เป็นระยะ ปรากฏว่ามีคำถามประเภทที่กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่าเคยตอบไปแล้ว แต่ท่านคงจะขี้เกียจในการค้นคว้า ประมาณว่า "ถ้าหลวงพ่อต้องพกวัตถุมงคลติดตัว จะเลือกวัตถุมงคลชนิดใดบ้าง ? หรือประเภทใดบ้าง ?" |
ขอตอบให้ชัดเจนในที่นี้เลยว่า กระผม/อาตมภาพนั้นชอบวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางเป็นพิเศษ เนื่องเพราะว่าแต่ละอย่างนั้น ล้วนแล้วแต่มีอุปเท่ห์ในการจัดสร้างและใช้สอย ที่แตกต่างหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง พูดง่าย ๆ ว่า "ทำยาก ศึกษายาก" เนื่องจากว่าเครื่องรางของประเทศไทยนั้น มีเป็นจำนวนมากมายมหาศาล และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละ ที่ติดตัวบรรพบุรุษของเรา ออกศึกเสือเหนือใต้ รักษาแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานอย่างพวกเราได้อยู่อาศัยมาจนทุกวันนี้
เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนเขามีคตินิยมที่ว่า "พระต้องอยู่วัด" ดังนั้น..ต่อให้เป็นพระเครื่อง เมื่อถึงเวลาเสร็จศึกแล้วก็มักจะเอาไปถวายคืนวัด ติดบ้านอยู่เฉพาะเครื่องรางที่ท่านมั่นใจว่าคุ้มตัวได้เท่านั้น แต่กระผม/อาตมภาพนั้นขอนำพระเป็นที่ตั้งเสมอ ในที่นี้ถ้าให้เลือกได้องค์เดียว ขออนุญาตเลือกสมเด็จองค์ปฐม ไม่ว่าจะเป็นของหลวงพ่อวัดท่าซุง รุ่น ๑ หรือว่ารุ่น ๒ ก็ตาม หรือถ้าหากว่าเป็นของวัดท่าขนุนเอง ก็สร้างเอาไว้มากมายหลายรุ่น เนื่องเพราะว่าสมเด็จองค์ปฐมนั้น พระองค์ท่านให้พรเอาไว้ว่า บุคคลที่บูชารูปของท่านนั้น ให้ตั้งใจภาวนา อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ แผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั่วหล้า แล้วไม่ต้องทำอะไร ใครคิดร้ายกับเราก็จะแพ้ภัยตัวเอง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นผลมามากต่อมากแล้ว วัตถุมงคลชิ้นต่อไปที่เลือกติดตัวอยู่ในปัจจุบันก็คือรูปท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ มีทั้งในส่วนของท้าวเวสสุวรรณลอยองค์ ที่สร้างโดยท่านเจ้าคุณศรีสัจจญาณมุนี (สนธ์ ยติธโร) วัดสุทัศนเทพวราราม และเหรียญรอยพระพุทธบาท หลังท้าวเวสสุวรรณของวัดท่าขนุนเอง ในส่วนนี้ ท้าวเวสสุวรรณท่านเป็น "ภูติบดี" ก็คือนายใหญ่แห่งผีทั้งหลาย ถ้าหากว่าท่านมีติดตัวเอาไว้ ไม่ว่าจะเข้าป่าเข้าดง หรือสถานที่แปลกใหม่อย่างไร ก็จะปลอดภัยเสมอ ความจริงกระผม/อาตมภาพนั้นพกท่านท้าวเวสสุวรรณของหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณี "ท่านอาจารย์ปู่" ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน แต่ว่าภายหลังลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ซึ่งมีอาชีพในการทำทัวร์ต่าง ๆ ไปที่โน่นแล้วโดนผีหลอก ไปที่นี่แล้วโดนผีหลอก เมื่อมาปรารภ กระผม/อาตมภาพจึงสละท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งตนเองมั่นใจที่สุดในการใช้งานให้กับลูกกิฟท์ไป ตนเองก็ต้องมาใช้ของเจ้าคุณศรีสัจจญาณมุนี แล้วมาภายหลังก็พกของวัดท่าขนุนเองเพิ่มเติมไปอีก ๑ องค์ |
ลำดับที่ ๓ ขอมอบให้กับ "ท่านพี่" อสุรินทราหูของกระผม/อาตมภาพ ไม่ว่าจะเป็นพระราหูกะลาตาเดียว ของหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองก็ดี หลวงพ่อปิ่น วัดศีรษะทองก็ดี หรือว่าของครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ หรือครูบาเจ้าอโนชัย วัดปงสนุก เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าหามาติดตัวได้ ภาวนานึกถึงท่านเป็นประจำ เรื่องร้ายต่าง ๆ ก็จะกลับกลายเป็นดี และเป็นวัตถุมงคลที่กระผม/อาตมภาพพกติดตัวไปต่างประเทศเสมอ เพราะว่าทำด้วยกะลาตาเดียว ไม่ว่าเครื่องจะสแกนอย่างไรก็ไม่ดัง ทำให้ติดตัวไปได้อย่างสบายใจเป็นที่สุด..!
วัตถุมงคลชิ้นต่อไปก็คือมีดหมอ ส่วนใหญ่ที่พกติดตัวติดรถอยู่เป็นมีดหมอเทพศาสตรา หลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ "ท่านอาจารย์ปู่" ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่สาย วัดท่าขนุนนั่นเอง เพียงแต่ว่าบางส่วนก็นำออกจำหน่ายให้ญาติโยมบูชาไปหมดแล้ว เหลือที่ติดตัวกับที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนเท่านั้น มีดหมอนั้น ถ้าหากว่าท่านอาราธนาได้ถูกต้อง นอกจากจะเป็นมหาอำนาจ ป้องกันภัย สามารถถอนคุณถอนของต่าง ๆ แล้ว มีดหมอหลวงปู่เดิมยังเป็นมหาอุดอีกต่างหาก เรื่องนี้ต้องถามผู้การเรวัช (พลตำรวจโทเรวัช กลิ่นเกษร) ซึ่งเคยเป็นผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ท่านจะพกมีดหมอหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ติดตัวเป็นประจำ ไม่ว่าจะต้องไปไล่ยิงกับผู้ร้ายที่ไหนก็ตาม ท่านไม่มีอะไรให้ต้องหวั่นเกรง เพราะเชื่อมั่นในอำนาจของมีดหมอที่ติดตัวอยู่ ว่าคุ้มครองป้องกันได้อย่างแน่นอน..! วัตถุมงคลชิ้นต่อไปก็คือเบี้ยแก้ ถ้าได้สุดยอดเบี้ยแก้ หลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ภักตร์ วัดโบสถ์ หลวงปู่คำ วัดโพธิ์ปล้ำ หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน หรือว่าหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้วก็ตาม อาราธนาติดตัวให้ดี กระผม/อาตมภาพนั้นมีประสบการณ์กับเบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือมากที่สุด เพราะว่าสั่นเตือนทุกครั้งที่มีอันตรายอยู่ใกล้ ครั้งแรก ๆ ยังคิดว่าแผ่นดินไหวหรือเปล่า ? เมื่อสอบถามพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายท่าน ต่างก็บอกว่าตนเองก็มีประสบการณ์แบบนี้เช่นกัน |
ถ้าหากว่าหาของครูบาอาจารย์ระดับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หรือหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้วไม่ได้ เพราะว่าราคาสูงมาก ก็หาของหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ที่ราคาพอจับต้องได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายต้องมั่นใจในที่มาด้วย
เนื่องเพราะว่าครั้งแรกในชีวิตที่กระผม/อาตมภาพไปกราบหลวงปู่เจือเมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว ด้วยความที่ไม่มั่นใจว่าหลวงปู่ท่านจะรับแขกตอนไหน ? จึงไปเดินดูวัตถุมงคลในตู้หน้ากุฏิท่านก่อน ปรากฏว่าเพิ่งจะก้มดูไปได้ไม่นาน หลวงปู่เจือท่านก็เปิดประตูออกมากวักมือเรียก บอกสั้น ๆ ว่า "ท่าน..ถ้าจะเอาเบี้ยแก้ มาเอาที่ผมนี่" กระผม/อาตมภาพถึงได้ซาบซึ้งใจว่า เบี้ยแก้ในตู้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นของทำขึ้นมาโดยไม่ได้เสกทั้งนั้น..! เนื่องเพราะว่าคนทำก็คือคนที่ทำให้หลวงปู่ท่านเสกนั่นเอง พูดง่าย ๆ ว่าส่วนนี้ขายเอาเงินเข้ากระเป๋าตนเองล้วน ๆ..! วัตถุมงคลชิ้นต่อไปที่ควรจะมีอย่างยิ่งก็คือตะกรุดมหาระงับ ถ้าได้สุดยอดตะกรุดมหาระงับของ "ท่านอาจารย์ปู่ทวด" ก็คือหลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม ครูบาอาจารย์ของหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณีเป็นดีที่สุด ถ้าไม่ได้ก็ต้องของหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช ซึ่งหลวงปู่เทียมนั้นท่านศึกษาสุดยอดวิชาตะกรุดมหาระงับมา แล้วยังมีการทำตะกรุดมหาระงับพิสดารอีกต่างหาก ก็คือถ้าหากว่าเป็นปกติก็จะยาวไม่เกิน ๗ หรือ ๙ นิ้ว ถ้ายาวเกิน ๙ นิ้วขึ้นไป เรียกว่าตะกรุดมหาระงับพิสดาร ซึ่งท่านจะลงพวกมหาอำนาจ มหาละลวยต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นอีกมาก สิ่งหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ก็จะนำติดตัวไปไว้ที่นั่นด้วย ก็คือเบี้ยแก้ตัวครู หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ๑ คู่ กับตะกรุดมหาระงับพิสดาร หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช เพราะมั่นใจว่าเรื่องร้ายทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น จะโดนระงับจนกระทั่งหมดสภาพไปเองด้วยบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย ในส่วนนี้ท่านทั้งหลายถ้าจะเลียนแบบตาม ก็สามารถที่จะให้เสาะหาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่บางคนบางท่านก็รู้สึกว่า โอกาสที่จะใกล้ของดี คู่ควรแก่การใช้งานนั้นห่างไกลเหลือเกิน อย่างกระผม/อาตมภาพนั้น ถ้าใกล้ครูบาอาจารย์ที่ตนเองมั่นใจ ก็จะสะสมเอาไว้เรื่อย อย่างสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง พระสมเด็จคำข้าวองค์ละ ๑๐ บาท กระผม/อาตมภาพออกกิจนิมนต์ได้เงินมาเมื่อไร ก็ไปบูชาพระ ซึ่งก็คือถวายสังฆทานกับหลวงพ่อท่านนั่นเอง เนื่องเพราะว่าถวายทีหนึ่ง ท่านก็ให้พระสมเด็จคำข้าวมาทีหนึ่ง จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพเก็บพระสมเด็จคำข้าวเอาไว้นับพันองค์ เพื่อนพระพี่พระน้องบอกว่า "มึงจะบ้าเก็บไปถึงไหนวะ ? ของมีตั้งเยอะตั้งแยะ" |
แต่ปรากฏว่าทันทีที่หลวงพ่อมรณภาพ วันนั้นพระสมเด็จคำข้าวขึ้นราคาไปองค์ละ ๑๐๐ บาท..! แล้วหลังจากนั้นก็ขึ้นไปเรื่อยจนถึงองค์ละ ๑,๖๐๐ บาท ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่ว่ากระผม/อาตมภาพจะบ้าเก็บไปถึงไหน มาโกยจากกระผม/อาตมภาพไปคนเดียว ๗๐๐ องค์..! แล้วก็ให้ราคาองค์ละ ๑๐ บาทเท่านั้น นี่ถ้าไม่ได้เห็นว่าห่มเหลืองอยู่ด้วยกัน จะถีบให้สักทีหนึ่งเสียด้วยซ้ำไป..!
หรือว่าอย่างหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม สมัยก่อนวัตถุมงคลของท่านราคาองค์ละ ๒๐ บาท มีโอกาสเมื่อไรกระผม/อาตมภาพก็ไปกอบโกยเอาไว้เสมอ แต่ส่วนใหญ่พอกลับมาแล้ว บรรดาตำรวจทหารที่เฝ้าวัดท่าซุง ก็มักจะปล้นต่อจนหมด..! ทำให้กระผม/อาตมภาพเองต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้รู้ว่าไปกราบท่านมา อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว ด้วยความที่มีประสบการณ์มาก จึงได้สะสมเบี้ยแก้ของท่านเอาไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรุ่น ๘๐ ปี อายุวัฒนมงคลของท่าน ซึ่งท่านจะสร้างเบี้ยแก้ชุบรัก เบี้ยแก้หุ้มดิ้นเงิน เบี้ยแก้หุ้มดิ้นทอง อย่างละ ๕๐๐ องค์เท่านั้น..! กระผม/อาตมภาพโกยมาต่ำ ๆ แบบหนึ่งก็ ๒๐ - ๓๐ องค์ แม้กระทั่งไอ้ตัวเล็กเห็นแล้วก็ยังตกตะลึง เนื่องเพราะว่าไม่คิดว่าอาตมภาพจะมีเบี้ยแก้ทีหนึ่งเป็นลังขนาดนั้น..! โดยเฉพาะเบี้ยแก้ตัวครู บูชามาครั้งแรก ๙ คู่เต็ม ๆ..! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของเงินทอง เพราะว่ามาถึงรุ่นหลวงปู่เจือนั้นกระผม/อาตมภาพทำพระคาถาเงินล้านขึ้นเต็มที่แล้ว ในยุคของหลวงพ่อกวยนั้น ยังอยู่ในยุคที่ใช้คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ ซึ่งก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่า ถ้าหากพอใจจะใช้เงินเท่าไร ก็จะมีพอดีแค่นั้นทุกครั้ง แต่พอเป็นพระคาถาเงินล้าน จะใช้เงินเท่าไรก็ยังเหลือเฟือไม่ขาดมือมาจนทุกวันนี้..! ดังนั้น..ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ส่วนของตะกรุดมหาระงับ หลวงปู่เทียม และเบี้ยแก้ตัวครู หลวงปู่เจือนั้น กระผม/อาตมภาพจะอาราธนาเข้าไปก่อนเสมอ ส่วนท่านทั้งหลายที่จะยึดถือวัตถุมงคลอื่นใดของครูบาอาจารย์ก็ตามที กระผม/อาตมภาพแทบจะมีอยู่ทุกอย่างทุกประการ แต่ถ้าหากว่าให้เลือกหลัก ๆ ก็เลือกดังที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:25 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.