กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=168)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11313)

พิชวัฒน์ 06-11-2025 17:06

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๘



เถรี 07-11-2025 00:46

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่ทองผาภูมิกลับเป็นหน้าหนาวไปอีกแล้ว เมื่อวานนี้ด้วยความเมตตาของเทวดาฟ้าดินที่ช่วยให้ฝนไม่ตก จึงทำให้การตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันลอยกระทงของทางวัดท่าขนุนเป็นไปด้วยดี

ในขณะเดียวกัน งานสวดพระอภิธรรมถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก็เป็นไปด้วยดี ไม่เช่นนั้นแล้วถ้ามีฝนตกลงมา ก็น่าจะทุลักทุเลทีเดียว แต่ด้วยความที่ว่าทองผาภูมินั้น ถ้าหากว่าอยู่ในช่วงนี้ พ้นฝนเมื่อไร อากาศก็จะหนาวทันที จึงกลายเป็นสภาพที่ค่อนข้างจะสุดขั้ว บุคคลที่ร่างกายไม่แข็งแรง ก็มักจะมีปัญหาเจ็บไข้ได้ป่วย หรือถ้าหนักกว่านั้น ก็อาจจะถึงแก่เสียชีวิตไปเลยก็มี..!

สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังวัดบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เพื่อที่จะไปเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมถวายพระครูสมควร (พระครูปิยธรรมพิมล) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางปลา อดีตรองเจ้าคณะอำเภอบางเลน ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเรียนในระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา และปริญญาโทพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการเชิงพุทธ มาด้วยกัน

โดยหลวงพ่อเจ้าคุณแก้ว - พระราชวชิรสุตาภรณ์ (พนม รตนาโภ) เจ้าอาวาสวัดบางช้างเหนือ รักษาการเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านเป็นตัวตั้งตัวตีรวบรวมรุ่นของเรามาเป็นเจ้าภาพด้วยกัน

ความจริงรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้นเสียชีวิตไปหลายต่อหลายรูปแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของพระครูสมควรนี้ ต้องบอกว่าอายุค่อนข้างน้อย เพราะว่าท่านมรณภาพตอนอายุ ๕๕ ปีเท่านั้น แม้ว่าในตอนที่เรียนอยู่ ท่านจะไม่ใช่ผู้ที่อายุน้อยที่สุดในห้อง แต่ว่ามามรณภาพตอนอายุ ๕๕ ปี ต้องบอกว่ากำลังอยู่ในวัยทำงาน จึงเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก

เถรี 07-11-2025 00:50

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า "สัตว์โลกเกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น" โดยเฉพาะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ก็คือทุกรูปทุกนามต้องก้าวเข้าไปหาความตายในที่สุด

หลายท่านที่กำลังใจไม่ดี พอได้ยินคำว่า "ตาย" ก็รู้สึกหวาดสะดุ้ง ที่ภาษาเก่าใช้คำว่า "เกรงมรณภัย" แต่ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจว่า ความตายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม แล้วพยายามมองให้เห็นความเป็นธรรมดาตรงนี้ ท่านก็จะไม่หวาดกลัวอีก

เนื่องเพราะว่าร่างกายนี้เป็นสมบัติของโลก ที่เรายืมมาใช้ชั่วคราวเท่านั้น ก็คือเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประกอบกันขึ้นมา แล้วตัวเราที่สร้างบุญสร้างกรรมมา ก็ได้อาศัยเพื่อที่จะชดใช้กรรมเก่าบ้าง สร้างกรรมใหม่บ้าง ถ้าหากว่าท่านใดที่พื้นฐานดี เมื่อเข้ามาอยู่ในร่างกายนี้ ก็ประกอบกองบุญการกุศล ทำให้ตนเองนั้น ก้าวขึ้นไปอยู่ในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลาย ในอดีตสร้างกรรมไว้มาก ถึงมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา แต่ก็อาจจะอยู่ในลักษณะที่ว่า "มืดมาแล้วมืดไป ณ เบื้องหน้า"..!

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย ซึ่งถือว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพินิจพิจารณาให้ชัดเจนว่า ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เป็นแค่เปลือกที่เรามาอาศัยอยู่ เหมือนกับเปลือกหอยหรือว่ากระดองเต่า หรือเหมือนกับเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องทิ้งผ้าชุดเก่า ซึ่งหมดสภาพใช้งานไม่ได้แล้ว เพื่อที่จะไปหาผ้าชุดใหม่มาใช้งานต่อไป

ถ้าเราสร้างบุญเอาไว้ดี ก็ได้เสื้อผ้าสวย ๆ ราคาแพง ๆ มาสวมใส่ แต่ถ้าหากว่าสร้างบาปไว้มาก ก็อาจจะเจอผ้าเก่า ผ้าขาด ให้เราได้ใช้งาน ก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ท่านทั้งหลายจะได้กระทำต่อไป ถ้ามีปัญญารู้สำนึกว่าชาตินี้เราใช้ผ้าเก่าผ้าขาด ก็เพราะว่าในอดีตเราสร้างกรรมไม่ดีไว้มาก แล้วเร่งในการสร้างคุณงามความดีเอาไว้ ชาติต่อ ๆ ไปท่านก็อาจจะได้ผ้าใหม่ราคาแพงมาใช้เช่นกัน

หรือเปรียบเสมือนว่าตัวเราคือคนขับรถ ร่างกายนี้ก็เหมือนกับรถคันหนึ่ง เมื่อเราใช้งานจนรถหมดสภาพแล้ว ก็ต้องออกจากรถคันนี้ ไปหารถคันใหม่มาใช้งานต่อไป ซึ่งก็เหมือนกับเรื่องของเสื้อผ้า คือว่าถ้าสร้างบุญเอาไว้ดี ก็ได้รถยี่ห้อดี ราคาแพงมาขับขี่ ถ้าสร้างบุญไว้ไม่ดี ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มาก ก็อาจจะได้รถเก่า ๆ พัง ๆ วิ่งไปซ่อมไปมาใช้งาน..!

เถรี 07-11-2025 00:59

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย ถ้าพิจารณาเห็นชัดเจนแล้ว ความสะดุ้งกลัวต่อความตายก็จะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง สภาพจิตยอมรับในความเป็นธรรมดาว่า "ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมบุญกุศลให้มากเข้าไว้ เพื่อที่ถึงเวลาแล้ว ถ้าต้องไปอาศัยร่างกายใหม่ อย่างน้อยก็จะได้ร่างกายที่ใช้งานได้ดี ไม่พาให้เราลำบากเดือดร้อนมาก ยิ่งถ้าสามารถลาขาดตัดกุดกันไปเลย ไม่ต้องมาเกิดใหม่อีก ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่เราท่านทั้งหลายควรที่จะเร่งทำให้ถึง

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงเป็นเรื่องที่ย่อหย่อนไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไร จึงต้องเร่งขวนขวาย ใช้เวลาทุกนาทีให้อยู่กับบุญอยู่กับกุศลให้มากที่สุด ไม่ว่าจะทำสิ่งหนึ่งประการใดอยู่ สภาพจิตส่วนหนึ่งก็ต้องจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า อีกส่วนหนึ่งก็รักษาไว้ที่ภาพพระ หรือว่าลมหายใจเข้าออก

ถ้าสามารถทำได้คล่องตัว อย่างน้อยก็จะช่วยประกันให้ท่านมีสุคติเป็นที่ไป แต่ถึงไม่คล่องตัวก็ตาม การที่ท่านค่อย ๆ สั่งสมไปทีละเล็กทีละน้อย ก็เหมือนกับสั่งสมน้ำวันละหยดสองหยด นานไปก็อาจจะเต็มถ้วยเต็มแก้วไปให้เราใช้งานได้เอง

เราท่านทั้งหลายได้โอกาส มีชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัติ ถือว่าชาตินี้ท่าน "สว่างมา" ดังนั้น..ก็ควรที่จะก่อกรรมทำดีให้มาก อย่างน้อย ๆ เมื่อถึงเวลาจะได้ "สว่างไป" ณ เบื้องหน้า

โดยเฉพาะเรื่องของบุญของกุศล เราจะไปหวังว่าตายแล้วเพื่อนจะมาทำให้ อย่างที่กระผม/อาตมภาพและพรรคพวกจะไปทำให้กับพระครูสมควรท่านนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรที่จะไปหวัง เนื่องเพราะว่าถ้าเราเตรียมพร้อมด้วยตนเอง ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปรอความเมตตา หรือความรัก ความคิดถึงจากใคร สามารถที่จะกระทำเองได้มากเท่าไร ก็ทำให้มากเท่านั้น

ถ้าคนอื่นเขาเมตตาทำเพิ่มให้ เราก็ยินดีและพลอยอนุโมทนา แต่ถึงเขาไม่ทำให้ เราสั่งสมมาอย่างเต็มที่แล้ว ก็ย่อมมีความมั่นใจในหนทางเบื้องหน้าของเรา ว่าจะต้องเต็มไปด้วยความสว่างรุ่งเรือง และท้ายที่สุด ถ้าหากว่าปัญญาญาณแก่กล้าถึงที่สุด ก็สามารถที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว