![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๘ |
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ต้องบอกว่าเป็นช่วง "ปลายฝนต้นหนาว" อย่างที่ทุกคนเห็นก็คือยังพอมีฝนอยู่บ้าง แต่ฝนฟ้าจะมาพร้อมกับฟ้าคะนองมากกว่าเป็นปกติ โบราณท่านใช้คำว่า "ฝนสั่งฟ้า" ก็แปลว่าใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว โดยเฉพาะทองผาภูมิ ถ้าหมดฝนเมื่อไรก็จะหนาวทันที
คราวนี้วิถีชีวิตของคนรุ่นเก่า ๆ เขาจะผูกพันอยู่กับเรื่องของดินฟ้าอากาศ ไม่เหมือนกับยุคนี้ที่ไม่ได้อาศัยอยู่อาศัยกินกับธรรมชาติ ความผูกพันกับดินฟ้าอากาศจึงไม่ค่อยมี ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่คนสมัยก่อนสะสมอาหาร โดยเฉพาะปลา ไม่ว่าจะทำปลาเค็ม ปลาแห้ง ตลอดจนกระทั่งน้ำปลาก็ตาม เป็นช่วงที่เขาว่ากันว่าเนื้อปลาจะอร่อยที่สุด แล้วอีกไม่กี่วัน ถ้าข้าวใหม่ออกมา การที่ได้กินข้าวใหม่พร้อมกับข้าวที่ทำจากเนื้อปลาช่วงนี้ จะเป็นอะไรที่คนรุ่นเก่าจะมีความสุขมาก เขาใช้คำว่า "ข้าวใหม่ปลามัน" เพราะว่าปลาได้สะสมอาหารสำหรับตัวเองอย่างเต็มที่ ถ้าอยู่ห่างจากแหล่งน้ำก็เตรียมจำศีล ก็คือจะมีการคุดอยู่ใต้ดินเวลาที่น้ำแห้ง ใช้ระบบลดการเผาผลาญในร่างกายทางธรรมชาติ เพื่อให้อยู่รอดจนกว่าฝนใหม่จะมา คราวนี้ในส่วนของธรรมชาตินั้น ถ้าหากว่าเป็นช่วงนี้ ทางภาคเหนือของเราข้าวก็จะทยอยสุกให้เก็บเกี่ยวได้ เพราะว่าอากาศหนาวเริ่มเข้ามา ดังนั้น..โบราณเขาจะมีคำพูดประมาณว่า "ข้าวสุกจากเหนือลงใต้" ก็คืออากาศหนาวไปถึงไหน ข้าวที่ตกรวงอยู่ก็เริ่มสุกเหลืองไปหมด ด้วยความที่บ้านเราลมหนาวมาจากประเทศจีน ข้าวจึงต้องทยอยสุกจากเหนือลงใต้ แต่ถ้าเป็น "ผลไม้สุกจากใต้ขึ้นเหนือ" เนื่องเพราะว่าทางใต้ ความอบอุ่น ความชุ่มชื้นมีมากกว่า ผลไม้เติบโตเร็วกว่า ถึงเวลาก็ทยอยให้ผลก่อน ไล่ขึ้นไปด้านเหนือ นี่คือลักษณะของบุคคลรุ่นเก่าที่อยู่กิน สัมพันธ์กับดินฟ้าอากาศ จึงต้องหัดสังเกตว่าดินฟ้าอากาศนั้นเป็นอย่างไร |
ช่วงนี้จะเห็นว่าบางขณะจะมีลมหนาวโชยมา ซึ่งจะรู้ว่าลมหนาวหรือไม่ใช่ลมหนาว ทางบ้านเราก็จะดูว่ามาจากทิศเหนือหรือเปล่า ? บางทีชาวบ้านเขาเรียกว่า "ลมข้าวเบา" ก็คือพอเริ่มโชยมา บรรดาข้าวเบาก็จะสุก ไม่รู้จักข้าวเบาอีก ?
ก็คือถ้าเป็นพันธุ์ข้าวหนัก บางคนก็เรียก "ข้าวปี" ปลูกครบรอบปีก็เก็บเกี่ยวได้ แต่ถ้าหากว่าเป็นข้าวเบา บางทีก็ปลูกแค่ ๓ เดือน ๔ เดือน เก็บเกี่ยวได้แล้ว มารุ่นหลัง ๆ พวกทางด้านนักวิชาการเกษตร เขาทำวิจัยพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ขึ้นมา จนกระทั่งพันธุ์ข้าวเก่า ๆ หายหมดแล้ว ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครที่ยังรักษาพันธุ์ข้าวเก่า ๆ เอาไว้ได้ ก็อาจจะเป็นเพราะความเคยชินว่ากินข้าวชนิดนั้นแล้วตนเองรู้สึกอิ่ม คล้าย ๆ กับพี่น้องชาวอีสาน ถ้าหากว่าขาดข้าวเหนียว กินอะไรก็ไม่อร่อย เหล่านั้นเป็นต้น สมัยวัยรุ่นกระผม/อาตมภาพไปภาคเหนือ ถ้าเข้าร้านอาหารแม่ค้าจะถามว่า "เอาข้าวสวยหรือเอาข้าวนึ่ง ?" ถ้าเอาข้าวสวยก็รอนานหน่อย เพราะว่าเขาต้องหุงให้ตอนนั้นเลย แต่ถ้าเอาข้าวนึ่ง ก็คือข้าวเหนียวนึ่ง ก็จะมีอยู่เลย เพราะว่าพี่น้องชาวเหนือก็กินข้าวเหนียวเป็นปกติ คราวนี้ข้าวเหนียวกับข้าวเจ้าความต่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือการให้พลังงาน กินข้าวเหนียวให้พลังงานสูงกว่า ทำงานได้หนักกว่า บ้านเราถึงได้เรียกว่า "ข้าวเจ้า ข้าวไพร่" "ข้าวเจ้า" ก็คือที่เรากินกันอยู่เป็นปกติ ส่วนใหญ่ก็อยู่ในภาคกลาง ก็คือบรรดาเจ้านายหรือว่าในรั้วในวังกินกัน แต่ถ้า "ข้าวไพร่" ก็คือข้าวเหนียว ให้บรรดาพวกเลข ก็คือบ่าวไพร่ผู้ที่ใช้แรงงาน ส่วนใหญ่โดนเกณฑ์มา แล้วก็จะสักตัวเลขตัวหนังสือไว้ที่ข้อมือ จะได้รู้ว่าสังกัดกรมไหน กองไหน ให้กินข้าวเหนียวเพื่อที่จะได้อิ่มท้องได้นาน และใช้แรงงานได้ดี แต่ไป ๆ มา ๆ ด้วยความที่ว่าความเจริญส่วนใหญ่ก็มาจากในรั้วในวัง แล้วก็ลามออกไปบรรดาลูกท่านหลานเธอที่เป็นข้าราชการ จากนั้นบรรดาบ่าวไพร่ก็เลียนแบบตาม การกินข้าวเจ้าก็เลยกระจายเป็นวงกว้าง แม้ว่าปัจจุบันนี้ยังมีข้าวนึ่ง หรือว่าข้าวเหนียวอยู่ในภาคเหนือภาคอีสานเป็นปกติ แต่สามารถที่จะเรียกหาข้าวเจ้าที่ไหนก็ได้ |
วันนี้เล่าเรื่องความรู้รอบตัวให้ฟัง โบราณบอกว่า "ของกินถ้าไม่กินก็เน่า เรื่องเล่าถ้าไม่เล่าก็ลืม" อย่างที่พระภิกษุสามเณรของเราหลายต่อหลายรูป ที่กระผม/อาตมภาพชี้ให้ดูว่า ถ้าลักษณะอากาศแบบนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไร วันนี้แดดจัดจ้าตั้งแต่เช้า ตอนบ่ายฝนตกแน่นอน เหล่านี้เป็นต้น นั่นก็คือภูมิปัญญาโบราณที่ตกผลึก ส่งต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ปัจจุบันนี้เขาพึ่งกรมอุตุนิยมวิทยา สมัยก่อนเขาพึ่งพาธรรมชาติ
ถ้ามดขนไข่ขึ้นที่สูงก็ให้รู้ว่าฝนจะตก ถ้าขนขึ้นสูงมากเป็นพิเศษ เตรียมตัวได้ น้ำหลากมาแน่นอน..! ถ้าหากว่าปีไหนหน่อไผ่ขึ้นสูงกว่าต้นแม่ ปีนั้นน้ำจะมาก เราจะสังเกตว่าหน่อไม้จะพุ่งทะยานขึ้นไปสูงลิบ แล้วก็ยังไม่แตกยอดอ่อน จนกระทั่งเลยต้นแม่ไปแล้ว ถึงไปแตกก้านแตกใบอยู่ด้านบน ก็แปลว่าปีนั้นจะน้ำมาก แล้วหลักการง่าย ๆ ก็คือปีไหนน้ำมาก ปีนั้นหนาวนาน จำไปก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะว่าสมัยนี้อากาศเพี้ยนหมดแล้ว ที่น่าสงสารที่สุดก็ต้นสาละลังกาวัดท่าขนุน ไวต่ออากาศมาก ถึงเวลากระทบหนาวนิดหนึ่งก็สลัดใบทิ้ง ปรากฏว่าอีกสองวันฝนตก แตกใบอ่อนใหม่ แตกใบอ่อนได้สักสองอาทิตย์ ใบเริ่มตั้งตัว เขาเรียกว่าเพสลาด (เพ-สะ-หลาด) ไม่เคยได้ยินอีก ? ใบครึ่งอ่อนครึ่งแก่ อากาศเย็นมาอีกทิ้งใบอีกแล้ว จากสมัยก่อนที่ต้นไม้ทิ้งใบครั้งเดียว ปัจจุบันนี้ต้นไม้ทำใจไม่ถูก ทิ้งใบแล้วทิ้งใบอีก เพราะว่าอากาศวิปริตผิดเพี้ยนมาก ดังนั้น..พวกเราไม่ว่าจะเป็นนักปฏิบัติธรรม หรือไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมก็ตาม ต้องพยายามสร้างความมั่นคงในอารมณ์ของเราเอาไว้ให้มากที่สุด เพื่อจะได้รับมือกับสภาพอากาศแบบนี้ได้ ถ้าหากว่าสติไม่ดี เพราะขาดสมาธิช่วยเหลือ ถึงเวลาเราอาจจะออกอาการบ้า ๆ บอ ๆ ไปตามสภาพอากาศ อยู่ในลักษณะ "ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า มนุษย์ขี้เหม็น เคี่ยวเข็ญเทวดา" แต่ถ้าหากว่าอารมณ์ใจของเรามั่นคง สมาธิทรงตัว ถ้าทรงสมาธิได้จริง ๆ นี่ ตากแดดก็ไม่ร้อน ตากฝนก็ไม่หนาวนะ เฉย ๆ มีความสุขอยู่ข้างใน ลืมโลกไปเลย..! ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัว กำลังใจมั่นคง การเปลี่ยนแปลงของอากาศก็กระทบเราได้น้อย แต่ความเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บก็ยังคงมีเป็นปกติ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่บรรดาโรคหวัดสารพัดประเภท แม้กระทั่งโควิดจะระบาด จึงต้องระมัดระวังให้ดี ไม่เช่นนั้นเสียงก็จะหายเหมือนกระผม/อาตมภาพนี่เอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:25 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.