กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=166)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11225)

ตัวเล็ก 22-09-2025 19:55

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๘



เถรี 23-09-2025 01:11

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ วันสารทไทย เหลืออีกครึ่งเดือน เราก็จะออกพรรษากันแล้ว

วันสารทไทยนั้น พี่น้องชาวไทยของเราจำนวนมากถือว่าเป็นวันที่พระยายมราชปล่อยผี ก็คือญาติพี่น้องที่ตกตายไปแล้ว ให้กลับมาหาญาติพี่น้องของตนเอง ถ้าหากว่าญาติโยมของตนเองทำบุญ ก็จะได้อนุโมทนาบุญทั้งหลายเหล่านั้นได้

เรื่องพวกนี้มีทั้งในส่วนที่เป็นเรื่องจริง และเรื่องที่ไม่จริง ในส่วนที่เป็นเรื่องจริงก็คือว่า
ถ้าหากว่าผู้ตายโดนตัดสินไปแล้ว ตกลงสู่นรกขุมใดขุมหนึ่ง ตั้งแต่สูงสุดถึงต่ำสุด จะไม่สามารถไปไหนได้อย่างที่ตนเองต้องการ ต้องโดนลงโทษอยู่จนกว่าจะครบอายุของนรกขุมนั้นก่อน แล้วส่วนมากบุคคลที่ทำความผิด ก็ไม่ได้ทำผิดเพียงอย่างเดียว ดังนั้น..พอพ้นจากนรกขุมหนึ่ง ก็มักจะต้องลงขุมต่อไป ส่วนมากผู้ที่ลงสู่ทุคติคือนรก ก็ต้องเวียนว่ายอยู่ในนรกขุมแล้วขุมเล่า จนกระทั่งบางทีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปหลายพระองค์แล้วก็ยังไม่ได้ขึ้นมา..!

ในส่วนของผู้ที่จะมาอนุโมทนาบุญของเราได้ ถ้าอยู่ในภพอื่น เราไม่นับสุคติภพ ก็คือบรรดาเทวดา นางฟ้า พรหม เพราะว่าถ้าไม่หลงเพลินอยู่กับทิพยสมบัติ เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีสิทธิ์ที่จะมาอนุโมทนาบุญที่ญาติพี่น้องตนเองทำอยู่แล้ว แต่ว่าต้องมีการอุทิศส่วนกุศลให้ ก็คือจะกรวดน้ำ หรือไม่กรวดน้ำก็ได้ แต่ต้องตั้งใจว่ากุศลผลบุญที่เราทำตรงนี้จะอุทิศให้แก่ใครบ้าง

ตรงนี้ก็มีปัญหาอีก บางคนก็ใช้บท อิมินา ฯ ในการกรวดน้ำไปเลย ก็คือ อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ผลบุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้ จงถึงแก่.. อุปัชฌายา คุณุตตะรา พระอุปัชฌาย์ผู้มีคุณอันสูงสุด มาตาปิตา จะ ญาตะกา พ่อแม่และหมู่ญาติ ปรากฏว่าถ้าผีที่มาไม่เคยเกิดเป็นญาติกันมาก่อนเลย ก็ไม่สามารถที่จะอนุโมทนาได้ หรือว่าต่อให้เป็นญาติ แต่ว่ากรรมยังหนักอยู่ บางทีก็ไม่สามารถที่จะแทรกเข้ามาอนุโมทนาได้

เถรี 23-09-2025 01:13

คราวนี้ในส่วนที่จะอนุโมทนาได้ก็ต้องเป็นเปรต ๑๒ จำพวก ที่ได้รับการลงโทษจนกระทั่งกรรมเบาบางแล้ว จัดอยู่ในประเภทที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต

เปตะ คือผู้ที่ล่วงลับหรือตายไปแล้ว ซึ่งอาศัยการยังชีวิตอยู่ด้วยผู้อื่น ก็คือคนอื่นเขาทำบุญแล้วอุทิศให้ถึงจะได้รับ หรือถ้าหากว่าสูงกว่านั้นขึ้นมาก็เป็นอสุรกาย แต่ว่าอสุรกายเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะกลัวคน อสุรกาย แปลว่า ผู้มีกายอันไม่กล้า ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ หากินของเน่าของสกปรก หรือว่าถ้ามีฤทธิ์มีอำนาจหน่อย ประเภทกาลกัญจิกอสุรกายกับมหิทธิกาเปรต ก็อาศัยกินพวกเครื่องเซ่นที่เขาทำเอาไว้ได้

ดังนั้น..เราจะเห็นว่าประเพณี ไม่ว่าจะเป็นงานบุญข้าวสากของพี่น้องชาวอีสานก็ดี งานสารทเดือน ๑๐ ของพี่น้องชาวใต้ก็ดี ซึ่งจะมีการจัด "หมฺรับ" ก็คือสำรับอาหาร ไปถวายพระแล้วก็จัดอุทิศให้กับญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะตั้งใจทำขนมลาเอาไว้สำหรับเปรตโดยเฉพาะ ก็คือเป็นขนมที่เป็นเส้นเล็ก ๆ เหมือนกันเส้นด้าย เพราะเชื่อว่าเปรตมีปากเท่ารูเข็ม ถ้าของชิ้นใหญ่ก็จะกินไม่ได้ แต่ว่าเปรตที่มีปากเท่ารูเข็มใน ๑๒ จำพวกนั้น มีแค่ "สูจิมุขาเปรต" ประเภทเดียว ก็แปลว่าสิ่งที่เราเชื่อกับความเป็นจริง บางอย่างก็ตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง

ถ้าหากกล่าวถึงว่าพระยายมราชปล่อยผี บางคนก็บอกว่าปล่อยทุกวันพระ ตรงนี้ก็ไม่ใช่อีก ในเรื่องของการปล่อยผีทุกวันพระนั้น ต้องใช้คำว่า "นายป่าช้า" ก็คือบรรดามหิทธิกาเปรต หรือกาลกัญจิกอสุรกาย ซึ่งมักจะยึดครองความเป็นใหญ่ในสถานที่ ซึ่งก็คือป่าช้าสำหรับฝังศพเผาศพเหล่านั้น แล้วก็ปกครองพวกเปรตอสุรกายอื่น ๆ อยู่ พอถึงเวลาวันพระมีคนทำบุญ ก็จะปล่อยให้บรรดาบริวารของตนที่เป็นเปรต หรืออสุรกาย เหล่านั้น ไปอนุโมทนาบุญ

คราวนี้ก็ไปติดตรงข้อจำกัดที่ว่า
ถ้าเขาไม่ได้เจาะจงอุทิศให้ แล้วก็ไม่ได้ให้ผู้ที่ไม่ใช่ญาติ ก็เป็นอันว่าอด อีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้าการทำบุญนั้นผสมด้วยบาป เขาก็ไม่อนุโมทนา เพราะว่าถ้ารับผลบาปไป ยินดีในบาปของคนอื่น ตนเองก็ได้รับโทษเพิ่มขึ้น อย่างเช่นว่าจะทำบุญวันพระ แต่ฆ่าหมู ฆ่าไก่ ฆ่าปลา ล้มวัว ล้มควาย เหล่านี้เป็นต้น

เถรี 23-09-2025 01:17

ดังนั้น..ข้อจำกัดเหล่านี้จึงมีมากเป็นพิเศษ ทำให้ทุกท่านจะได้เห็นว่าการเป็นมนุษย์นั้นถือว่าอยู่ในภูมิที่เหมาะสมที่สุด ก็คือสามารถสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเองได้ ถามว่าเป็นพรหมเป็นเทวดาสร้างได้ไหม ? ได้..แต่โอกาสมีน้อยกว่ามาก เพราะประการแรก ถ้าหลงเพลินอยู่กับทิพยสมบัติ บางทีก็ไม่ได้ใส่ใจเลย แบบเดียวกับสุปติฏฐิตเทพบุตร มีอายุอยู่แค่ ๗ วัน แต่ก็รื่นเริงอยู่กับทิพยสมบัติ โชคดีที่อากาสจารีเทพบุตรไปเจอเข้าถึงได้ชักชวนไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า

หรือไม่ก็ที่สนังกุมารพรหมชักชวนเพื่อน บอกว่าให้ไปกราบฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า เพื่อนบอกว่า "เรายิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้วยังต้องไปอีกหรือ ?" สนังกุมารพรหมถามว่า "ท่านที่ว่ายิ่งใหญ่นั้นทำอะไรได้บ้าง ?" เพื่อนพรหมก็แผลงฤทธิ์ ๔ พักตร์ ๘ กร เหล่านั้นเป็นต้น สนังกุมารพรหมก็เลยแผลงฤทธิ์ใหญ่กว่าหลายเท่า พร้อมกับบอกว่า "เราเองทำได้ขนาดนี้ยังไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าเลย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ดีจริง เราก็ไม่ไปอยู่แล้ว"
เราจะเห็นได้ว่าการเป็นพรหม เป็นเทวดา ไม่ใช่โอกาสที่จะสร้างบุญสร้างกุศล โอกาสที่เหมาะที่สุดก็คือความเป็นมนุษย์ของเรานี่เอง แต่มาสมัยนี้ก็เจอบรรดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ รณรงค์หรือต่อต้านการทำบุญกับพระสงฆ์เสียอีก โดยไปเหมาเอาว่า ทำแล้วทำให้พระสงฆ์ร่ำรวย แล้วก็ทำชั่วกันหมด..!

คราวนี้โอกาสที่พระยายมราชจะปล่อยผีนั้นมีอยู่ แต่ว่ามีอยู่แค่ปีละ ๔ วันเท่านั้น ก็คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา โดยจะให้โอกาส ๓ วัน เฉพาะบรรดาท่านทั้งหลายที่ตกตายแล้วยังไม่ได้ไปรับความดีความชั่ว รอการตัดสินอยู่ที่ตำหนักพระยายมราช จะปล่อยให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไปหาญาติพี่น้องของตนเอง

ถ้าหากว่าได้อนุโมทนาบุญแล้วไปดี พระยายมราชกับนายบัญชีก็ไม่ต้องเหนื่อยมาตัดสินให้ เพราะว่าส่วนใหญ่ก็จะขึ้นข้างบนไปเลย แต่ถ้าไปเจอญาติพี่น้องของตนเองทำบุญไม่เป็น ก็คือทำบุญผสมบาปบ้าง ทำบุญแล้วไม่ค่อยอุทิศให้บ้าง ก็เป็นอันว่ารับประทาน "แห้ว" เต็มพุงกลับมา..!

เถรี 23-09-2025 01:19

ถามว่าหนีไปเลยได้ไหม ? ได้..แต่ไม่มีใครหนี เพราะว่าอันดับแรกเลย ไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร ? อันดับที่สองก็คือถ้าเจอพระยายมราช โอกาสที่จะได้ดีมีมากกว่า เพราะว่าท่านจะสอบถามละเอียดว่าสร้างบุญสร้างกุศลอะไรมาบ้าง ? นึกถึงความดีได้แม้แต่เล็กน้อยก็ตาม ท่านก็จะไปให้รับผลดีนั้นก่อน แต่ถ้าไม่เคยสร้างบุญเดิมเอาไว้ ผลบุญมีน้อย ก็ได้เสวยผลบุญเพียงพักเดียว แล้วก็ต้องลงทุคติใหม่..!

ในส่วนนี้ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เฉพาะบุคคลที่ตายแล้ว ยังไม่ได้รับการตัดสิน พวกที่ได้รับการตัดสินลงสู่ขุมต่าง ๆ ไปแล้วไม่มีโอกาสกลับมา ญาติพี่น้องทำบุญไปก็เท่ากับสูญเปล่า ยกเว้นว่าฝากพระยายมราชท่านเอาไว้ เพื่อถึงเวลาพ้นจากนรกขึ้นมาท่านบอกให้อนุโมทนา แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่านานแค่ไหน เพราะว่าอย่างอเวจีมหานรก อายุวันหนึ่งเท่ากับ ๑ กัปของโลกมนุษย์ ตายห่..พอดี..!

คราวนี้การที่บุคคลซึ่งรอการตัดสินอยู่
ระยะเวลาของตำหนักพระยายมนั้น วันหนึ่งเท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์ วันนี้ถือว่ากระผม/อาตมภาพเล่านิทานให้ทุกท่านฟังก็แล้วกัน เรื่องพวกนี้จะเอาหลักฐานมายืนยัน ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อยากจะรู้อยากจะเห็นก็ทำให้ได้เองก็แล้วกัน

ดังนั้น..เราจะเห็นว่าบุคคลที่รู้จริง เมื่อถึงเวลาญาติพี่น้องตัวเองตายก็มีการทำบุญให้ สมัยก่อนก็นิยมสวดพระอภิธรรม เลี้ยงพระไปเรื่อย มักจะทำกัน ๗ วัน ปัจจุบันนี้อย่างเก่งก็สวด ๓ วันแล้วไปทำบุญวันที่ ๗ แล้วเราก็ยังมีทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน ทำบุญครบรอบปีวันตาย เราเอาจบแค่ ๑๐๐ วันก็แล้วกัน

เถรี 23-09-2025 01:21

๑๐๐ วันของโลกมนุษย์เท่ากับไม่ถึงชั่วโมงที่ตำหนักพระยายม บางทีญาติตัวเองยังไม่ได้รับการตัดสินเลย ถ้า ๕๐ วันเท่ากับไม่กี่นาทีของตำหนักพระยายม บางทีก็ยังเข้าแถวรออยู่ท้าย ๆ โน่น..!

ดังนั้น..บุคคลที่ท่านรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงกำหนดเป็นประเพณีมาให้กับพวกเรา ทำให้บรรดาญาติพี่น้องต่าง ๆ มีโอกาสที่จะได้รับผลบุญเต็ม ๆ เพราะว่าส่วนใหญ่ทำก็จะออกชื่อออกนามสกุลไปเลย เป็นสิทธิของเขาโดยตรง คนอื่นแย่งชิงไม่ได้ เรื่องพวกนี้เราฟังแล้วก็พยายามที่จะค้นหาด้วย ว่าอะไรเป็นความเชื่อ อะไรเป็นความจริง

ดังนั้น..ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า แรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ไม่ใช่วันพระยายมราชปล่อยผี แต่ว่าการปล่อยผีทุกวันพระ เป็นของนายป่าช้า ที่ให้บริวารตนเองไปดูว่ามีญาติของตนทำบุญแล้วอุทิศให้หรือเปล่า

พระยายมราชจะปล่อยปีปีละ ๔ ครั้งเท่านั้น ก็คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา

บุคคลที่จะอนุโมทนาบุญได้ นอกจากบรรดาท่านที่ตายแล้ว ยังไม่มีภพภูมิที่แน่นอน ซึ่งเรียกว่าสัมภเวสี กับบรรดาเปรตที่กรรมเบาบางแล้ว เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต และพวกอสุรกายทั้งหลาย กับบรรดาท่านที่อยู่ในสุคติภูมิ

แม้แต่มนุษย์เราก็อนุโมทนาบุญได้ โดยเฉพาะช่วงเช้ามืด หลังจากพวกเราทำวัตร อุทิศส่วนกุศลกันเสร็จสรรพแล้ว ก็ตั้งใจไว้ด้วยว่าใครทำคุณงามความดีในทาน ในศีล ในภาวนา ตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่งที่ผ่านมานี้ เราขออนุโมทนาด้วย ก็เท่ากับว่านอกจากเราจะให้บุญคนอื่นแล้ว เรายังยินดีในบุญของคนอื่นด้วย

แต่การอนุโมทนาบุญคนอื่นมีจุดอ่อนอยู่เล็กน้อย ก็คือว่าบุญนั้นต้องส่งผลแก่ผู้ทำเองก่อน เราถึงจะมีโอกาสได้รับ ถ้ายังไม่ส่งผล เราก็แหงนคอรอคอยไปก่อน

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:55


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว