กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=166)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11223)

ตัวเล็ก 21-09-2025 20:04

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๘



เถรี 21-09-2025 23:02

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพไปเป็นประธานในการออกนิโรธกรรมของครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ประจำปี ๒๕๖๘ ที่ที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์

คำว่า "นิโรธกรรม" นั้นเป็นแนวการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย ก็คือจะมีการเข้ากรรมฐาน ประมาณ ๗ วัน หรือ ๙ วัน ต่อเนื่องกัน ตามแต่ความสามารถของแต่ละรูปแต่ละท่าน

คราวนี้ในการกระทำแบบนั้น ถ้าถามว่าเป็น "อัตตกิลมมถานุโยค" คือ "การทรมานตนเกินไป" หรือเปล่า ? ก็ต้องตอบว่าอยู่ในแนวเดียวกับ "ธุดงควัตร ๑๓ ประการ" ก็คือบุคคลบางประเภท สิ่งแวดล้อมหล่อหลอมให้เป็นบุคคลที่มีสภาพจิตเข้มแข็ง หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า "ดื้อ" ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั่ว ๆ ไปก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะว่าไม่ตรงกับจริตของตนเอง

แต่ถ้าหากว่าเจอกองกรรมฐานที่ต้องใช้ความเพียรพยายามมาก ตรงกับจริตของตน ก็สามารถที่จะทำและได้ผลดีขึ้นมา อย่างเช่น "เนสัชชิกังคธุดงค์" ในธุดงควัตร ๑๓ ประการนั้น ก็คือ "การนั่งโดยไม่นอน" ถ้าหากว่าจะหลับก็ใช้วิธีนั่งหลับ ท่านที่เคร่งมาก ๆ ถือว่าถ้าหลังแตะข้างฝาก็แปลว่าย่อหย่อนในการปฏิบัติแล้ว..!

ถ้าจะเอาตัวอย่างในสมัยพุทธกาลก็คือ "หลวงปู่พระอนุรุทธเถระ" นั่งโดยไม่นอนมาตลอด ๕๕ ปี ถ้าหากว่าในยุคปัจจุบันนี้ เป็นที่น่าเสียดาย ก็คือครูบาราศรี โชติโก - ตุ๊เจ้าเสือดาว ทางภาคเหนือ พวกท่านอาจจะเกิดไม่ทัน หรือว่าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาก่อน เพราะว่าภายหลังท่านก็สึกหาลาเพศไป นั่นท่านปฏิบัติเนสัชชิกังคธุดงค์ นั่งโดยไม่นอน ต่อเนื่องกันได้ ๑๓ ปี..!

เรื่องของการกระทำแบบนี้นั้น ส่วนใหญ่ก็คือต้องอาศัยกำลังสมาธิที่เข้มแข็งมาก แต่ว่าเป็นโลกียสมาธิ ก็คือถ้าเสื่อมก็แปลว่ากิเลสทั้งหลายตีกลับมาเหมือนเดิม หรือว่าถ้าเผลอให้กิเลสแทรกเข้ามาได้ สมาธิตกหรือเสื่อมขึ้นมา โอกาสที่จะพังก็มีมาก..!

เถรี 21-09-2025 23:05

ในเรื่องของสมาธินั้น เราท่านจะเห็นชัดว่า ถ้ายังเป็นโลกียสมาธิอยู่ ถึงแม้จะมีความเก่งกล้าสามารถหรือคล่องตัวขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีเผลอมีพลาดได้ให้กิเลสตีกลับ จนเราสูญเสียพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปหลายต่อหลายรายแล้ว

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังตัวให้จงหนัก เพราะว่าสมาธิอย่างเดียวยังเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ ต้องมีปัญญาประกอบ รู้ว่าจะคลายกำลังใจของตนเองอย่างไร ? จะพินิจพิจารณาอย่างไร ? กำลังของรัก โลภ โกรธ หลง ถึงจะบรรเทาหรือว่าสูญสิ้นไป

ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ยังเหมือนอย่างกับเดินอยู่แถวปากเหว พลาดเมื่อไรก็ตกเหวตายเมื่อนั้น หรือถ้าอย่างที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านเปรียบเทียบไว้ว่า "วิชชา ๒ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ห่างจากนรกแค่นิ้วกั้นเท่านั้น..!" ก็คือไม่ได้กั้นตามยาวด้วย เป็นการกั้นตามขวาง ก็แปลว่าห่างจากขอบนรกไม่ถึงเซ็นติเมตรดี ใครนิ้วใหญ่หน่อยก็น่าจะห่างสักเซ็นติเมตรกว่า ๆ เท่านั้น..!

ในระหว่างที่ประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมตามสายของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย ก็มักจะอยู่ในลักษณะ "ไม้สูงต้องลมแรง" มักจะมีคนที่คอยลองของ โดยเฉพาะพวกเล่นไสยศาสตร์ จึงต้องหาพระเถระที่ตนเองมั่นใจว่า สามารถปกป้องคุ้มครองได้ เป็นผู้นำเข้านำออกในกรรมฐานครั้งนั้น ๆ ซึ่งในปัจจุบันนี้ กระผม/อาตมภาพต้องทำหน้าที่นี้อยู่ประจำ ๒ ราย นอกจากครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ประธานที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถานนี้แล้ว ก็ยังมีครูบาเหนือชัย โฆสิโต สำนักสงฆ์ถ้ำป่าอาชาทอง จังหวัดเชียงราย

ในปีแรก ๆ กระผม/อาตมภาพอยู่ในงาน ก็ "รับเละ" อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเคยชินกับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จนทำใจได้แล้ว เนื่องเพราะว่าในสมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุงนั้น ตอนแรกก็เป็นหลวงตาวัชรชัย ก็คือท่านเจ้าคุณหลวงตา - พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ. ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ในปัจจุบัน เป็นผู้รับจดหมาย หรือว่าพัสดุของวัด

เมื่อกระผม/อาตมภาพมารับจดหมายหรือพัสดุของวัดแทนท่าน ก็จะแกะเพื่อที่จะได้รายงานหลวงพ่อท่านว่าใครส่งอะไรมาบ้าง ? จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ? ถ้าเป็นพวกตั๋วแลกเงินหรือธนาณัติ ก็ต้องให้หลวงพ่อท่านเซ็นมอบฉันทะ แล้วเราก็ไปเบิกเอามาส่งให้ครูนนทา อนันต์วงศ์ เพื่อลงบัญชี แล้วจะได้เอาเงินสดเข้าธนาคารต่อไป

ด้วยความที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก บรรดาหมอไสยศาสตร์เขาก็แข่งขันกัน ประมาณว่าถ้าใครล้มหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงได้จะโด่งดังมาก แต่คราวนี้บรรดาหมอไสยศาสตร์ที่ไม่เจียมตัวนั้น ไม่เข้าใจว่ายันต์เกราะเพชรคืออะไร ?
อานุภาพของยันต์เกราะเพชรนั้นมีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ สะท้อนอำนาจไสยศาสตร์กลับไปจนหมด เขาต้องการทำร้ายผู้ที่มียันต์เกราะเพชรและอาราธนาทุกวันหนักเท่าไร ตนเองก็จะโดนหนักเท่านั้น..!

เถรี 21-09-2025 23:08

กระผม/อาตมภาพในระยะแรกนั้นต้องบอกว่าเป็นฆราวาสก็ห้าวเกินตัว เพราะว่าฝึกมโนมยิทธิได้ เมื่อรับยันต์เกราะเพชรแล้ว มองเมื่อไรเห็นยันต์เกราะเพชรสว่างอยู่กลางกาย จึงลุยไป "ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ" ชนิดที่ไม่พกวัตถุมงคลอื่นเลย จนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านต้องเตือนว่า "อาศัยกำลังของเรายังมีโอกาสเผลอได้ แต่ถ้าแกพกวัตถุมงคลแล้วอาราธนา ขอบารมีพระท่านช่วย พระ หรือ พรหม เทวดา ที่รักษาวัตถุมงคลนั้น ท่านไม่เผลอ ถึงตัวแกจะเผลอ วัตถุมงคลก็ยังคุ้มได้"

เมื่อมาทำหน้าที่ตรงนั้น ทุกครั้งที่จะเปิดจดหมายหรือพัสดุ ก็ต้องอาราธนายันต์เกราะเพชรจนเต็มที่ก่อน แล้วก็มักจะพบวัตถุประเภทที่ทำไสยศาสตร์มาเสมอ ซึ่งถ้าเป็นของพวกนั้น ถ้าหากว่าเห็นเป็นชิ้นใหญ่
กระผม/อาตมภาพถึงเวลาลงไปพายเรือ เพื่อป้องกันไม่ให้เขามาขโมยปลาหน้าวัด ก็จัดการถ่วงลงแม่น้ำสะแกกรังไปเลย เพราะว่าแม่น้ำสะแกกรังบริเวณหน้าวัดท่าซุง จุดที่ตื้นที่สุดก็คือ ๒ เมตรกว่า จุดที่ลึกที่สุดเกือบ ๑๑ เมตร ถ้าสงสัยว่าทำไมถึงรู้ขนาดนั้น ? ก็เพราะว่าควานมาทุกตารางนิ้วแล้ว จนกระทั่งที่เขากล่าวกันว่า "ดำน้ำสามผุด จะไม่หลุดไปจากอุทัยฯ นั้น" ไม่จริง อาจจะเป็นเพราะดำมากเกินไปก็ได้..!

ยกเว้นมีอยู่งานหนึ่ง ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร มีญาติโยมถวายของมา พอเอื้อมมือจะรับหลวงพ่อท่านตีมือ บอกว่า "ไม่ต้อง..ชิ้นนี้ข้ารับเอง" แล้วท่านก็มาบ่นทีหลังว่า "มันทำมาแรงมาก พอจับเข้าเหมือนกับเข็มแทงพุ่งเข้าหามือเลย เพียงแต่ว่ายันต์เกราะเพชรยันเอาไว้แค่ข้อมือ เข้าไปมากกว่านั้นไม่ได้" กระผม/อาตมภาพถึงได้เข้าใจว่า ทำไมพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านต้องห้ามเอาไว้ เนื่องเพราะว่าท่านเองยังโดนขนาดนั้น แล้วถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพที่กำลังทุกอย่างสู้ท่านไม่ได้ จับเข้าไปก็อาจจะหงายท้องอยู่ตรงนั้นเอง..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาหมอไสยศาสตร์คนเดียวสู้ไม่ไหว
เขาก็ใช้วิธีระดมพลมา แค่กระผม/อาตมภาพเอง มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็ล้มทั้งยืน..! ถึงขนาดปัสสาวะเป็นเลือด รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว เหมือนกับมีดแทงปักคาอยู่ แล้วก็ไข้ขึ้นสูงมาก ตัวร้อนฉ่าขนาดเอาผ้าโปะหัวนี่ขึ้นเป็นควันเลย..! จึงพยายามที่จะใช้กำลังสมาธิ ในการที่จะทิ้งเวทนาที่เกิดกับร่างกาย แต่ว่าทันทีที่เข้าสมาธิ พอจิตหลุดไปอยู่กลางวง ก็เห็นว่าบรรดาหมอไสยศาสตร์ ทั้งนุ่งเหลือง นุ่งขาว นุ่งลาย ๓๐ คนโดยประมาณ กำลังทำพิธีไสยศาสตร์อยู่ ล้อมวงโดยมีหุ่นที่ปั้นแล้วแทงด้วยเข็ม เผาอยู่บนเตาไฟอีกต่างหาก..!

เถรี 21-09-2025 23:10

ด้วยความที่ว่าเป็นนักสู้ เป็นทหารมาทุกชาติ แม้พยายามจะแผ่เมตตาให้อภัยเขา แต่ตีนมันไปเอง..ตีนกวาดโครมเดียวกระจายทั้งวง..! ทันทีที่พิธีเขาแตก อาการทุกอย่างก็หายเดี๋ยวนั้นเลย แต่ว่าพอสองวันต่อมาก็ร่วงทั้งยืนอีก..! เพราะเขารู้ว่าเราตอบโต้เขาได้ ก็คือไม่เป็นอะไร

คราวนี้ตัวคนเดียวเราต้องมีพักผ่อนหลับนอน แต่เขาใช้วิธีผลัดเวรกัน ในเมื่อ ๓๐ คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน แค่เวรละ ๑๐ คน เราก็ตายแน่..! เพราะเขาไม่ต้องพัก จึงต้องใช้วิธีอดทนเอาไว้ ไม่ตอบโต้ จนกระทั่งเขาคิดว่ากระผม/อาตมภาพตายไปแล้ว ถึงได้เลิกทำ

ดังนั้น..ในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่กระผม/อาตมภาพก็ใช้วิธีนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นในงานของครูบาวิฑูรย์ หรือว่าครูบาเหนือชัย ใครอยากทำก็ทำหน้าทะเล้นคุยไปเรื่อย จนเขาสงสัยว่า "ตกลงหลวงพ่อเล็กหรือพระอาจารย์เล็กเขาเก่งจริงหรือเปล่า ? ทำอะไรก็ไม่เห็นจะตอบโต้ แต่ขณะเดียวกัน ทำเท่าไรก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักทีเหมือนกัน ?" กระผม/อาตมภาพอยากจะปลุกยันต์เกราะเพชรเหมือนกัน แต่กลัวว่าเขาจะตาย..!

เพราะเพิ่งจะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อท่านบอกว่าเหมือนกับเข็มแทง ความจริงไม่ใช่เข็ม อยากจะบอกว่าเหมือนเหล็กปิ้งเนื้อหรือเหล็กปิ้งบาร์บีคิว มีอยู่ครั้งหนึ่ง เหมือนกับแทงเข้าฝ่าเท้าขึ้นมาถึงหัวเข่าเลย ปวดจนกระทั่งนั่งอยู่ไม่สุข ต้องพลิกซ้ายพลิกขวา ถ้าคนรู้จักสังเกตจะเห็นว่า งานนั้นอาตมานั่งไม่นิ่ง แต่ก็ใช้วิธีเข้าสมาธิ ไม่รับรู้ อยากจะเจ็บก็เจ็บไป ดังนั้น..เขาก็เลยสงสัย แล้วท้ายที่สุดพอทำไปหลาย ๆ ครั้งไม่มีผล เขาก็เลิกกันไปเอง ปัจจุบันนี้จะอยู่ในลักษณะค่อนข้างสบาย แต่ถ้าเป็นระยะแรก ๆ นี่ "โดน" เป็นประจำ..!

ดังนั้น..
ในเรื่องของการเข้ากรรมฐาน หรือว่านิโรธกรรมนั้น ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ ยกเว้นว่าท่านใดสามารถทรงสมาบัติ ๘ ได้ ถึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ แต่..แต่บุคคลที่ทรงสมาบัติ ๘ ได้นั้น อย่างต่ำต้องเป็นพระอนาคามี ก็แปลว่าไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฆราวาส ถ้าเป็นพระอนาคามีทรงสมาบัติ ๘ ได้ สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ทุกคน ยกเว้นว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น

เถรี 21-09-2025 23:13

เนื่องเพราะว่านิโรธสมาบัตินั้น เป็นกึ่งกลางระหว่างสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการพักใจตนเอง ทำให้ร่างกายได้พักไปด้วย เพราะว่าถ้าเข้าเต็มที่ คนมักจะคิดว่าตาย อย่างที่กระผม/อาตมภาพโดนแม่ชีชื่น (อุบาสิกา ศรีสองแคว) หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุนกับคณะยำจนเละ..! จนกระทั่งทุกวันนี้ยังต้องอาศัยโลชั่นอยู่เลย เล่นใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนถูเสียทั้งตัว เพราะคิดว่าจะตายแล้ว ตัวเย็นเฉียบเลย..! คราวนี้ถูจนหนังถลอกปอกเปิก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถ้าอากาศแห้งหน่อย ก็จะเกิดอาการคันคะเยอ ต้องใช้โลชั่นช่วยมาจนทุกวันนี้..!

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลาย ถ้าคิดจะทำ อันดับแรกเลยก็คือ
ซักซ้อมเข้าอัปปนาสมาธิ ต่ำสุดต้องเป็นปฐมฌานละเอียดได้ แล้วก็ซ้อมให้คล่องตัวระดับจะเข้าออกได้ตามที่เราตั้งใจเอาไว้ ก็คือจะเป็น ๓ วัน ๕ วัน ๗ วันอย่างไรก็ได้ แต่ว่าอย่าให้เกิน ๑๕ วัน เพราะว่าร่างกายขาดสารอาหารมาก จะชำรุดทรุดโทรมและฟื้นตัวช้า

อย่างวันนี้ กระผม/อาตมภาพสอบถามครูบาหน่อแก้วฟ้าแล้วว่า "เมื่อไรจะเข้านิโรธกรรมอีก ?" ท่านบอกว่าร่างกายไม่ดี ระยะนี้เข้าไม่ไหว กระผม/อาตมภาพก็ว่า ถ้าอายุขนาดท่านร่างกายไม่ดี อายุขนาดผมก็คง "ตะบันน้ำกิน" แล้วแน่นอน ถ้าหากว่าทุกท่านซักซ้อมได้คล่องตัวแล้ว จะลองเข้าดูบ้างก็ได้ แรก ๆ ก็ซ้อมไว้สักวัน ๒ วัน ๓ วัน ขยับขึ้นไปเรื่อย
จะช่วยให้สมาธิของเราดีขึ้น ถ้าเอามาบวกกับการใช้ปัญญาพิจารณา ก็จะตัดอะไรได้เด็ดขาดและง่ายขึ้น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:58


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว