![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๘ |
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ สถานการณ์ของโลกวุ่นวายเพิ่มขึ้นมาอีก เนื่องเพราะว่าทางด้านประเทศอิสราเอล มีการโจมตีประเทศกาตาร์ เพราะบอกว่ามีศัตรูของตนเองไปหลบอยู่ที่นั่น ความจริงก็คือการขยายแนวรบ สร้างความวุ่นวายให้กับโลกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่อเมริกาจะได้ขายอาวุธ..!
เนื่องจากว่ากาตาร์แม้จะเป็นประเทศเล็ก ๆ แต่ว่ามีน้ำมันมาก ร่ำรวยมาก ถ้าหากว่ามีศัตรูโดยตรงเมื่อไร ก็จำเป็นที่จะต้องซื้อหาอาวุธเพิ่มเติม เราจะเห็นได้ว่า บรรดาประเทศใหญ่ไม่ได้สนใจเลย ที่ว่าคนอื่นจะเดือดร้อนล้มตายอย่างไร สนใจอยู่อย่างเดียวก็คือวัตถุประสงค์ของตนจะสำเร็จหรือไม่ ? แล้ววันนี้ที่ผ่านมา ประเทศเนปาลก็มีการจลาจลถึงขนาดเผาทำเนียบรัฐบาล ตลอดจนกระทั่งบ้านพักของบรรดาคณะรัฐมนตรี ได้ยินว่าภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรีก็โดนเผาทั้งเป็นไปด้วย..! โดยที่เรื่องเกิดขึ้นเพราะว่าไปปิดกั้นช่องทางโซเชียลต่าง ๆ ที่บรรดาคนใช้งานอยู่ เพื่อความมั่นคงของประเทศ เรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงอย่างไรก็ตาม พวกเราจะต้องคิดอยู่เสมอว่า "ในขณะที่โลกวุ่นวายไปหมด บ้านเมืองเราวุ่นวายไปหมด เราจะรักษาสภาพจิตของเราให้มั่นคงอย่างไร ?" เพราะว่าสถานการณ์ของประเทศชาติก็ดี ของโลกก็ดี เหมือนกับคลื่นใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาไม่รู้จบ เราจะยืนหยัดโต้คลื่นอยู่อย่างเดียวก็คงจะไม่ไหว จึงต้องหาเกาะ หรือว่าหาฝั่งเพื่อที่จะขึ้นไป ถ้าเป็นเกาะ..อย่างน้อยก็หลบคลื่นได้ชั่วคราว ถ้าขึ้นฝั่งได้ก็ปลอดภัย แต่คราวนี้การที่เราจะมีเกาะ หรือว่าขึ้นฝั่งได้ ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของแต่ละคน ที่จะปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา โดยเฉพาะในส่วนของสมาธิ ต้องเร่งรัดให้มากเข้าไว้ เพราะว่าจะช่วยในการประคับประคองศีลของเรา และช่วยในการพิจารณาของปัญญาอีกด้วย ไม่ต้องไปฟังคำพูดของบรรดาครูบาอาจารย์นักสอนกรรมฐาน ซึ่งปัจจุบันนี้เต็มประเทศไปหมด ที่สอนให้พวกเรากำหนดโดยขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิเท่านั้น โดยอ้างว่าเหมือนอย่างกับเราเก็บงาทีละเมล็ด พอนานไปก็สามารถที่จะเอามาคั้นน้ำมันใช้งานได้ |
กระผม/อาตมภาพเคยตั้งคำถามว่า "ในเมื่อผมมีงาเป็นเกวียนแล้ว ทำไมต้องไปเก็บทีละเมล็ดด้วย ?" ท่านบอกว่าเพราะพระพุทธเจ้าสอนเราว่า ในเรื่องของอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ต้องเสมอกัน ก็คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ต้องเสมอกัน จึงจะใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
กระผม/อาตมภาพถามต่อไปว่า "ในเมื่อสมาธิของผมสูง แล้วทำไมเราไม่ยกศรัทธา วิริยะ สติ และปัญญาขึ้นมา จะได้เสมอกันอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ? ทำไมเราต้องลดกำลังใจลงไปเหลือนิดเดียวให้กิเลสมากระทืบเราด้วย ?" อาจารย์ท่านนั้นเป็นประโยค ๙ และจบด็อกเตอร์ ด่าผมว่า "เป็นแค่เถรใบลานเปล่า..ดีแต่พูด..!" นั่นคือลักษณะของบุคคลที่เข้าใจการปฏิบัติธรรมตามตำราเท่านั้น แล้วก็มักจะพาให้ลูกศิษย์เสียหายไปด้วย กระผม/อาตมภาพไม่ได้โกรธท่าน แต่สงสารท่านมากกว่า เพราะว่าท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ก็คิดว่าตนเองเลิศที่สุดแล้ว แถมยังจบปริญญาเอกอีกด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดไป ท่านต้องฉุกใจคิด แล้วก็เอาไปปรับใช้ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แล้วท่านอยู่ในฐานะครูบาอาจารย์ที่สอน ถ้าไม่ยินดีรับ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้มีหน้าที่ไปยัดเยียดให้ท่าน ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ของประเทศ หรือของโลกเรา จะยุ่งเหยิงวุ่นวายขนาดไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรักษาสภาพจิตของเราให้สงบเอาไว้ อย่างน้อย ๆ ในขณะที่พายุโหมกระหน่ำทั่วไป เราก็จะได้มีถ้ำ มีหลุมหลบภัยของเราเอง ต่อให้ช่วยคนอื่นไม่ได้ ก็อย่าทำให้ตัวเราเป็นภาระแก่คนอื่น ถ้าหลายท่านรู้จักสังเกตจะเห็นว่า ภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา สุขภาพของกระผม/อาตมภาพหาดีไม่ได้เลย เพราะว่าใช้กำลังจนหมด คำว่า "ใช้กำลังจนหมด" ในที่นี้ก็คือใช้ไปเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ให้สถานการณ์ต่าง ๆ สงบระงับให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าภายในวุ่นวายแล้วภายนอกเกิดศึกสงครามขึ้นมา ความซวยจะมาถึงพวกเราไม่รู้จบ ?! ถ้าหากว่าตามที่สัมผัสมาได้ สถานการณ์ประเทศชาติของเราควรจะดีขึ้นตั้งแต่เกือบ ๒๐ ปีที่แล้ว แต่ว่าที่ดีขึ้นไม่ได้จริง ๆ จัง ๆ ประการแรกก็คือเพราะว่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ถ้าท่านที่เชื่อหมอดูก็ขอให้รู้ว่าชะตาประเทศชาติของเราเป็นอย่างนั้น ถ้าท่านที่เชื่อในพระพุทธศาสนา ก็ต้องบอกว่าวาระบุญ วาระกรรมของประเทศชาติเราเป็นอย่างนั้น |
จากหลายท่านที่บ้าในเรื่องหมอดูหรือคำทำนาย หยิบยกสารพัดคำทำนายขึ้นมา ในลักษณะ "ยัดใส่ปาก" หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ว่าเป็นผู้ทำนาย ทั้ง ๆ ที่กระผม/อาตมภาพอยู่กับท่านมา ๑๘ ปี ไม่เคยได้ยินเลย ไม่ว่าจะเรื่อง "นารีขี่ม้าขาว" ก็ดี เรื่องของศึกสงครามที่เขากล่าวถึงในแง่มุมอื่นก็ตาม
แต่ว่าในส่วนของคำทำนาย ๑๐ รัชกาลนั้น หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง กล่าวไว้แน่นอน ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๑๐ ท่านบอกว่าเป็นคำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์ หรือหลวงปู่ใหญ่ พระมหาเถระสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ทำนายเอาไว้ มาถึงรัชกาลที่ ๙ คือ "ถิ่นกาขาว" ก็แปลว่าโดดเด่นเหนือใคร มีความไม่เหมือนกับคนอื่นให้เห็นแตกต่างอย่างชัดเจน พวกเราก็ต้องยอมรับว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ นำพาประเทศชาติของเรามาไกลยิ่งกว่าในหลวงทุกรัชกาล แล้วพอรัชกาลที่ ๑๐ คือ "ชาววิไล" ไม่ได้แปลว่า ถึงเวลาแล้วทุกคนจะสะดวกสบายร่ำรวยกันหมด เพราะว่าในช่วงเปลี่ยนผ่าน อย่างไรเสียก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อดาบส อาศรมไผ่มรกต จังหวัดเชียงราย ก็ทำนายต่ออีก ๒ รัชกาล คือ "ไทยมหารัฐ" และ "จักรพรรดิราช" ก็คือพอเริ่มรัชกาลที่ ๑๑ เป็นต้นไป บ้านเราเมืองเราจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศเล็ก ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ในสมัยในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ เราก็เห็นชัดเจนแล้วว่า ประเทศรอบข้างต้องพึ่งพาเราเกือบทั้งหมด หลายประเทศถึงขนาดใช้เงินไทยเป็นหลักในประเทศตัวเองแล้ว แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เงินไทยก็ยังเป็นเงินที่ปลอดภัยสำหรับหลายต่อหลายประเทศ ก็คือเลิกเก็บเงินดอลลาร์แต่หันมาถือเงินไทยแทน..! เราจะเห็นความเป็น "ไทยมหารัฐ" ชัดเจนตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐ แต่ทุกอย่างก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป เนื่องเพราะว่าทรัพยากรต่าง ๆ ของเราที่มีมากมายมหาศาล ไม่สามารถที่จะขึ้นมาได้ตอนนี้ เนื่องเพราะว่านักการเมืองของพวกเรา ต้องบอกว่ายังเลวร้ายอยู่มาก..! ขึ้นมาเมื่อไรจะไม่ก่อประโยชน์ต่อชนหมู่มาก หากแต่สร้างความร่ำรวยให้กับพวกเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น..! |
ดังนั้น..บรรดาพระเถระ หลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ทุกรูปที่มีความสามารถพิเศษ ท่านก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งประเทศชาติของเราให้สถานการณ์สงบลง จนกระทั่งสามารถที่จะพัฒนาประเทศชาติของเราให้ก้าวหน้าขึ้นไป จึงไม่ต้องห่วงว่าแต่ละท่านที่แบกภาระในลักษณะอย่างนี้ หาท่านที่สุขภาพดีไม่ได้สักราย เพราะว่าไปแบกกรรมแทนคนทั้งประเทศ และอาจจะถึงขนาดแบกแทนคนทั้งโลก..!
แต่ขอบอกกล่าวให้ทุกท่านมั่นใจได้ว่า ต่อให้ศึกสงครามหนักหนาขนาดไหนก็ตาม ถ้าอาศัยบารมีของพระ ของครูบาอาจารย์ ตลอดจนพรหมเทวดา และบารมีในหลวง ราชินี ที่รักษาประเทศไทยอยู่ บ้านเราจะได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยมาก ไม่ใช่ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ได้รับผลกระทบน้อยมาก แต่ว่าพวกเราก็ต้องร่วมด้วยช่วยกัน ในการที่พยายามพึ่งพาตนเองให้ได้ ก็คือพยายามที่จะใช้หลักทฤษฎีเกษตรแบบใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ หรือว่าทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง "ซื้อเฉพาะที่จำเป็น พึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเอง ถึงเวลาถ้าไม่สามารถจะหาจากภายนอกได้ ภายในเรามีครบถ้วน ก็ไม่ต้องเดือดร้อนกับใคร" วันนี้ได้บอกกล่าวเรื่องราวให้พวกเรารู้มากเกินกว่าที่จะตั้งใจแล้ว บางอย่างถึงรู้ก็พูดให้ชัดเจนไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องเอาไปขยายความต่อให้คนเขาแตกตื่นกัน อย่าทะลึ่งทำตัวเป็นผู้สื่อข่าวประมาณว่ากูรู้ก่อน กูต้องรีบคุย ถ้าลักษณะนั้นก็เสียทีที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม แล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมปฏิบัติธรรมแล้วไม่เกิดผลเสียที ก็เพราะว่ามีความฟุ้งซ่านมากกว่าความสงบนั่นเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:01 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.