กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=166)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11199)

ตัวเล็ก 05-09-2025 20:16

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๘



เถรี 06-09-2025 01:13

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปเป็นกรรมการตรวจประเมิน เพื่อยกบ้านดงขี้เหล็ก หมู่ที่ ๔ ตำบลบ้านไร่ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ขึ้นเป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ต้นแบบ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘

แต่ว่าการจัดนิทรรศการและสถานที่ตรวจประเมินนั้น จัดกันที่วัดชาวเหนือ หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านไร่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของคนทั้งตำบล ตัวเจ้าอาวาสก็คือพระครูวชิรสุภัทราจารย์ วิ. หรือว่าพระครูศุภชัย ซึ่งเป็นอนุกรรมการรูปหนึ่งในโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕

การตรวจประเมินที่วัดชาวเหนือนั้น ต้องบอกว่าวัฒนธรรมประเพณีส่วนใหญ่ก็เป็นวัฒนธรรมประเพณีทางล้านนา เนื่องเพราะว่าในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้น มีการ "เทครัว" ชาวล้านนา หรือถ้าเรียกกันแบบไม่ไว้หน้าก็คือ "กวาดต้อน" กันมา แล้วก็ให้อยู่ในหลายบริเวณ

อย่างปีก่อนโน้นที่เราไปยังบ้านนาหนอง จังหวัดราชบุรี ตรงนั้นก็เป็น "ไท-ยวน" หรือเรียกกันชัด ๆ ว่า "ไทยโยนก" ก็คือบรรดาชาวไทยเชียงแสนที่โดนกวาดต้อนมา ทางด้านนี้เมื่อโดนกวาดต้อนให้มาอยู่บริเวณตำบลบ้านไร่ อำเภอดำเนินสะดวก เมื่ออยู่รวมกันจำนวนมากก็มีการสร้างวัด เพื่อที่เป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้าน แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเลือดชาวเหนือแรง หรือว่าคนอื่นเห็นว่าเป็นคนเหนือสร้างวัด จึงเรียกกันติดปากมาตลอดว่าวัดชาวเหนือ

การแสดงวัฒนธรรมต่าง ๆ อย่างเช่นการฟ้อนขันดอก ก็เป็นการแสดงวัฒนธรรมชาวเหนืออย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าที่นี่มีการแสดงหนังใหญ่ วัดขนอน จังหวัดราชบุรี ซึ่งใช้หนังวัวมาฟอก แล้วก็แกะสลักเป็นรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ลงสีอย่างสวยงาม ตอนเชิดก็เชิดแบบเดียวกับหนังตะลุง ก็คือมีไฟส่องใส่เพื่อให้เงาไปปรากฏที่จอผ้าขาว จนกระทั่งเกิดเป็นสำนวนว่า "หนังหน้าไฟ" ก็คือต้องเดือดร้อนอยู่เสมอ แต่ว่าสำนวน "หนังหน้าไฟ" นี้ คนรุ่นใหม่ ๆ ไม่เข้าใจแล้วว่าหมายถึงอะไร ?!

วันนี้ทางด้านคณะหนังใหญ่วัดขนอน จังหวัดราชบุรี เชิดหนังใหญ่ตอนพระรามรบกับทศกัณฐ์ แล้วก็สรุปจบลงตรงที่ว่า "เนื่องจากว่าพวกเราจะต้องมาตรวจประเมินหมู่บ้านรักษาศีล ๕ การรบราฆ่าฟันกันไม่ใช่วิสัยของผู้ถือศีล ดังนั้น..ขอให้ยกทัพกลับ เพื่อที่จะไปเตรียมรับการตรวจประเมินดีกว่า" ทำเอาได้รับเสียงเฮฮา ชอบอกชอบใจจากคนดูเป็นอย่างยิ่ง..!

เถรี 06-09-2025 01:15

ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นการตรวจประเมินโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ที่จังหวัดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าอยู่ในส่วนของการตรวจซุ้มนิทรรศการแล้ว จะเห็นกระผม/อาตมภาพอยู่เคียงข้างองค์ประธานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นพระเดชพระคุณพระพรหมเสนาบดี (พิมพ์ ญาณวีโร ป.ธ. ๗) รองประธานคณะกรรมการอำนวยการ โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ก็ดี

พระเดชพระคุณพระเทพสมุทรวัชราจารย์ (จรัล สิริธมฺโม) รักษาการประธานกรรมการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ หนกลาง ก็ตาม

การติดตามใกล้ชิดนั้นไม่ใช่การเสนอหน้า หากแต่ว่าต้องพร้อมที่จะควักกระเป๋าให้รางวัลกับเด็กหรือนักแสดงที่มาออกนิทรรศการนั้น ๆ ถ้าหากว่าองค์ประธานไม่ได้เตรียมมา ก็ต้องควักกระเป๋าให้กับท่าน เพื่อมอบรางวัลให้กับเด็ก ๆ หรือถ้าเห็นว่าท่านให้น้อยไป กระผม/อาตมภาพก็ควักเพิ่มเติมให้อีก

เรื่องพวกนี้นั้น สำหรับกรรมการอื่น ๆ แล้ว ท่านมักจะหลีกออกห่าง เพราะว่ารายจ่ายแต่ละวันนั้นมากทีเดียว อย่างเมื่อวานกับวันนี้ก็หมดไปวันละ ๕,๐๐๐ กว่าบาท..! ท่านไปใช้จ่ายในส่วนอื่นที่ตกลงกันไว้ อย่างเช่นว่าให้ซุ้มนิทรรศการแต่ละแห่งมีรายได้อย่างน้อย ๑,๐๐๐ บาท เพื่อที่เขาทั้งหลายจะได้มีกำลังใจในการเดินทางมาร่วมงาน คณะกรรมการก็จะแยกย้ายกันไปซื้อสินค้าต่าง ๆ ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพต้องตามติดองค์ประธาน พร้อมที่จะควักกระเป๋าให้ท่านทันที ถ้าเห็นว่าท่านไม่ได้เตรียมการมา

เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าขึ้นกับมุมมองของแต่ละคน เพราะว่ากระผม/อาตมภาพนั้นเห็นว่า การให้ทุนการศึกษานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าตนเองเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีลูกมากถึง ๑๓ คน แม้ว่าจะเสียชีวิตไป ๑ คนตั้งแต่เด็ก แต่ว่าที่เหลือ ๑๒ คนนั้น แม่ก็มีนโยบายในลักษณะที่ว่า ลูกทุกคนต้องรู้หนังสือไทย "พ่อแม่ไม่รู้หนังสือไทย ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา"

เถรี 06-09-2025 01:16

ในเมื่อต้องส่งลูกเรียนทุกคน สิ่งที่กระผม/อาตมภาพได้รับก็เป็นมรดกตกทอดจากพี่ ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ เป็นกางเกง เป็นรองเท้า เป็นหนังสือ ซึ่งเสื้อกางเกงก็ปะแล้วปะอีก รองเท้าก็ขาดจนกระทั่งนิ้วเท้าโผล่ออกมา..!

หนังสือก็ต้องพยายามหากระดาษที่ค่อนข้างหนา อย่างเช่นว่ากระดาษถุงปูนซีเมนต์ ซึ่งสมัยนั้นก็หายากเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้มาแล้วก็ต้องมาตัดให้ได้ขนาดกับหนังสือ แล้วก็เอาข้าวสุกเป็นกาวในการติด เพื่อที่จะให้หน้าปกแข็งแรง รักษาหนังสือเอาไว้ให้ใช้ได้ไปถึงรุ่นน้อง ๆ ต่อไป

การเรียนในสมัยนั้น พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก็ต้องเริ่มจ่ายค่าเทอม กระผม/อาตมภาพเองนั้น ต้องขอผัดผ่อน ผัดแล้วผัดอีก จนกระทั่งถึงเส้นตายว่าถ้ายังไม่จ่ายก็ไม่ได้ "สอบไล่" ก็คือสอบในการขึ้นชั้นต่อไป จึงต้องมาควานหาเงินกันจนหมดบ้าน ถึงขนาดทุบกระปุกออมสิน เพื่อที่จะไปจ่ายค่าเทอม

ตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ นั้น ค่าเทอมก็แค่ ๒๒๐ บาท แต่ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ตอนที่กระผม/อาตมภาพเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ นั้น ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๑ สลึงเท่านั้น จนกระทั่งถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ก๋วยเตี๋ยวก็ยังชามละบาทเดียว ถ้าหากว่าสั่งพิเศษ มีหมูสับชิ้นเท่าฝ่ามือ ก็อยู่ที่ ๓ บาทเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จำนวนเงิน ๒๒๐ บาทจึงเป็นจำนวนเงินที่มากอย่างยิ่ง

ความจริงโยมแม่ให้กระผม/อาตมภาพหยุดเรียนตั้งแต่จบชั้นประถมปีที่ ๗ แล้ว แต่ด้วยความที่อยากเรียนต่อ ก็ต้องไปสอบชิงทุนการศึกษา ซึ่งทั้งอำเภอมีแค่ทุนเดียว จำนวน ๖๐๐ บาท แล้วก็รวม ๆ กับงานต่าง ๆ ที่ออกไปรับจ้างเขาทำในช่วงเลิกเรียน สะสมเงินเอาไว้จนกระทั่งพอที่จะจ่ายค่าเทอมในแต่ละปี ครั้นจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ แล้ว พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เรียนค่อนข้างจะเก่ง มั่นใจว่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย ก็ไปเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕

เถรี 06-09-2025 01:19

ส่วนบุคคลทั่วไปที่ไม่คิดจะเรียนมหาวิทยาลัย ก็มักจะเข้าเรียนวิทยาลัยครูนครปฐม ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ส่วนตัวกระผม/อาตมภาพนั้นตั้งใจว่าจะเข้ากรุงเทพฯ ไปหางานทำ พอดีว่าช่วงนั้นมีการเปิดโรงเรียนใหม่ ก็คือโรงเรียนพาณิชยการบ้านโป่ง ซึ่งมีการเรียนสายวิชาชีพที่เรียกว่า ปวช. คือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ เรียน ๒ ปีจะได้วุฒิเท่ากับการเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕

เมื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงชวนให้ไปเป็นเพื่อนกัน กระผม/อาตมภาพเองทั้งที่ไม่คิดที่จะเรียนก็เตรียมเอกสารไปด้วย ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า"ใบสุทธิ" ซึ่งจะแสดงผลการเรียนของเราอยู่ในนั้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณ รบ. (ใบระเบียนแสดงผลการเรียน) ของเด็กรุ่นใหม่ ทันทีที่เห็นคะแนนของกระผม/อาตมภาพ เจ้าหน้าที่ซึ่งรับสมัครบอกว่า "ของเธอไม่ต้องสอบแข่งกัน ทางโรงเรียนรับเข้าเรียนเลย ให้ไปจ่ายค่าเทอม ๑,๒๐๐ บาท แล้วเตรียมตัวที่มาเรียนได้"

กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่กลืนน้ำลาย เพราะว่าแค่ ๒๒๐ บาทยังหากันเป็นปี แล้ว ๑,๒๐๐ บาทจะเอาที่ไหนมา ? จึงต้องเดินเข้ากรุงเทพฯ ไปทำงาน ขณะที่พรรคพวกเพื่อนฝูงซึ่งฐานะดีกว่าก็ไปเรียนต่อกัน ซึ่งในสมัยนั้น
กระผม/อาตมภาพก็ไม่มีความรู้ เพราะไม่มีการแนะแนวการศึกษา ประกอบกับอยู่ "ไกลปืนเที่ยง" บ้านนอกคอกนาด้วย จึงไม่รู้ว่าการเรียนทหารตำรวจนั้นไม่ต้องเสียเงิน ขอให้สอบข้อเขียนและทดสอบร่างกายของตนเองผ่านก็เข้าเรียนได้แล้ว แถมยังมีเบี้ยเลี้ยงให้เราอีกด้วย..!

ในเมื่อไม่รู้เรื่องว่ามีการเรียนในลักษณะอย่างนั้น จึงต้องไปทำงาน กว่าจะได้เรียนต่ออีกเล็กน้อย ก็ตอนเป็นทหารเกณฑ์แล้วอายุยังไม่เกิน ๒๓ ปี มาได้เรียนจริง ๆ จัง ๆ ก็หลังจากที่มาบวชแล้วนี้เท่านั้น

กระผม/อาตมภาพจึงเห็นความสำคัญในเรื่องของการให้รางวัลเด็ก หรือทุนการศึกษา ถึงขนาดตั้งปณิธานว่าจะให้ทุนการศึกษาให้ครบทั้ง ๓๓ โรงเรียนของอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งในแต่ละปีจ่ายหมดเป็นล้าน ๆ แล้วก็สามารถที่จะทำได้ครบตามที่ตั้งใจเอาไว้ เมื่อ ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมานี้เอง

เถรี 06-09-2025 01:25

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอื่นคงจะเห็นว่า การที่ไปเสียเงินซื้อของกินของใช้ในซุ้มนิทรรศการ ก็จะได้ข้าวของมาในลักษณะที่เรียกว่า "กำไร" แต่ถ้าต้องไปควักทุนการศึกษาอย่างเดียวแบบกระผม/อาตมภาพ แถมยังต้องจ่ายมาก เป็นการขาดทุนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็มักจะเลี่ยงไป ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพเดินประกบประธานกรรมการอยู่แต่ผู้เดียวมาโดยตลอด แต่เรื่องพวกนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ว่าให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรกันแน่ ?

สำหรับเรื่องการศึกษาแล้ว กระผม/อาตมภาพนั้นไม่เคยเสียดายเงินเลยแม้แต่น้อย ปัจจุบันนี้
ในแต่ละปีนอกจากให้ทุนการศึกษาทั้ง ๓๓ โรงเรียนในเขตอำเภอทองผาภูมิแล้ว พระภิกษุสามเณรของอำเภอทองผาภูมิท่านใด ถ้าตั้งใจจะเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ กระผม/อาตมภาพก็ถวายค่ารถให้รูปละ ๓,๐๐๐ บาททุกเดือน

ถ้าหากว่าเป็นพระวัดท่าขนุนเอง ถ้าเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ ก็รับเท่ากับวัดอื่น ๆ แต่ถ้าหากว่าเรียนที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) หรือว่าที่ มจร. (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) วังน้อย ก็เพิ่มให้อีก ๒,๐๐๐ บาท เป็นเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท จ่ายค่าเทอมให้ต่างหาก เหล่านี้เป็นต้น

การศึกษานั้นเป็นการเพิ่มโลกทัศน์ของคนให้กว้างไกลขึ้น มีโอกาสในการทำมาหากินได้ง่ายขึ้น จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพตั้งใจที่จะช่วยอย่างเต็มที่ แต่ก็มีกฎเกณฑ์กติกาของตน ก็คือขอช่วยเฉพาะในเขตทองผาภูมินี้เท่านั้น เนื่องเพราะว่าถ้าช่วยเหลือทั่วไป มีเท่าไรก็ไม่เพียงพอ..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:44


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว